หนังสือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค โดย อ. สุรชัย ไชยรังสินันท์
หนังสือสำหรับใช้ในการวิเคราะห์ Forex แจกฟรีเวอร์ชั่น PDF ที่นักเทรดสายเทคนิคทุกคนเคยอ่าน หนังสือ Forex ของ อาจารย์ สุรชัย ไชยรังสินันท์ที่เหมาะสำหรับมือเก่าและมือใหม่สามารถหา Download ได้ในเว็บของเราเพื่อศึกษา Forex ในเบื้องต้น
สารบัญ
- บทที่ 1 โหมโรง
- บทที่ 2 หลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับการสร้างกราฟ
- บทที่ 3 รูปแบบการเปลี่ยนแนวโน้ม
- บทที่ 4 รูปแบบต่อเนื่อง
- บทที่ 5 แผนภาพ
- บทที่ 6 ระบบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
- บทที่ 7 เครื่องชี้ที่เกี่ยวข้องกับราคา
- บทที่ 8 ดัชนีวัดความแกว่งในปริมาณการซื้อขาย
- บทที่ 9 เครื่องชี้ภาวะตลาด
- บทที่ 10 ตัวเลขของฟิโบนาวี่และการประยุกต์ใช้
- บทที่ 11 ทฤษฎีคลื่นของอีเลียต
- บทที่ 12 ทฤษฏีแกนน์
- บทที่ 13 ทฤษฏีคลื่นวัฏจักร
- บทที่ 14 การวิเคราะห์แผนภูมิแบบแท่งเทียนเบื้องต้น
- บทที่ 15 รูปแบบการเปลี่ยนทิศทางของการวิเคราะห์แบบแท่งเทียน
- บทที่ 16 รูปแบบต่อเนื่องในการวิเคราะห์แท่งเทียน
- บทที่ 17 กระบวนยุทธ์
สรุปเนื้อหารายบท
ต่อไปเป็นการสรุปเนื้อหาหนังสือรายบท เบื้องต้นครับ
บทที่ 1 โหมโรง
- หนังสือนี้อธิบายเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคในตลาดการเงิน โดยเฉพาะตลาดหุ้น
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายเป็นหลัก เพื่อคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต
- แนวคิดพื้นฐานคือ พฤติกรรมราคาในอดีตมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต
- ทฤษฎีดาว (Dow Theory) เป็นทฤษฎีสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค อธิบายเกี่ยวกับแนวโน้มตลาด
- เครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ แนวโน้ม (Trend), รูปแบบกราฟ (Chart Patterns), ตัวชี้วัดต่างๆ (Indicators)
- ข้อดีของการวิเคราะห์ทางเทคนิค: ยืดหยุ่นสูง, ใช้เวลาน้อยกว่าการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน, ให้จังหวะในการเข้า-ออกตลาด
- ข้อเสีย: อาจขาดความลึกซึ้งในการวิเคราะห์, ไม่สามารถทำนายราคาได้แม่นยำ 100%
บทที่ 2 หลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับการสร้างกราฟ
- การสร้าง Chart:
- Chart ประกอบด้วยแท่งเทียน (Bar) ที่แสดงข้อมูลราคาในแต่ละช่วงเวลา
- แต่ละแท่งแสดงราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุด
- การเรียงแท่งตามลำดับเวลาทำให้เกิดเป็น Bar Chart
- รูปแบบของแนวโน้ม (Trend):
- Uptrend: แนวโน้มขาขึ้น ยอดสูงสุดและต่ำสุดใหม่สูงกว่าเดิม
- Downtrend: แนวโน้มขาลง ยอดสูงสุดและต่ำสุดใหม่ต่ำกว่าเดิม
- Sideways: การเคลื่อนไหวแนวราบ ไม่มีทิศทางชัดเจน
- เส้นแนวโน้ม (Trendline):
- Uptrend Line: ลากเส้นเชื่อมจุดต่ำสุด
- Downtrend Line: ลากเส้นเชื่อมจุดสูงสุด
- ใช้ดูการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
- การปรับตัว (Retracement):
- ราคามักมีการปรับตัวกลับในระหว่างแนวโน้มหลัก
- ระดับ Retracement ที่สำคัญคือ 38.2%, 50%, 61.8%
- แนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance):
- แนวรับ: ระดับราคาที่มีแรงซื้อเข้ามาหนุน
- แนวต้าน: ระดับราคาที่มีแรงขายออกมากดดัน
- แนวรับ/ต้านสามารถสลับบทบาทกันได้
- ช่วงเวลาในการวิเคราะห์:
- ระยะยาว: ประมาณ 1 ปีขึ้นไป
- ระยะกลาง: ประมาณ 1-6 เดือน
- ระยะสั้น: ประมาณ 1 สัปดาห์ถึง 1 เดือน
บทที่ 3 รูปแบบการเปลี่ยนแนวโน้ม
- Head & Shoulders:
- เป็นรูปแบบการเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง
- ประกอบด้วยไหล่ซ้าย หัว และไหล่ขวา
- เส้น Neckline เป็นแนวรับสำคัญ
- ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลงเมื่อเกิดไหล่ขวา
- Triple Tops และ Triple Bottoms:
- Triple Tops: เปลี่ยนจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง
- Triple Bottoms: เปลี่ยนจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น
- ราคาทดสอบแนวต้านหรือแนวรับ 3 ครั้ง
- ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลงในจุดสูงสุดหรือต่ำสุดที่ 2 และ 3
- Double Tops และ Double Bottoms:
- คล้ายกับ Triple Tops/Bottoms แต่ทดสอบแนวต้าน/รับเพียง 2 ครั้ง
- Double Tops: เปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง
- Double Bottoms: เปลี่ยนจากขาลงเป็นขาขึ้น
- การยืนยันเกิดขึ้นเมื่อราคาหลุด Base line หรือ Neckline
- Saucer:
- มีลักษณะคล้ายถ้วยกาแฟ
- Saucer แบบคว่ำ: เปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง
- Saucer แบบหงาย: เปลี่ยนจากขาลงเป็นขาขึ้น
- มักใช้เวลาในการก่อตัวค่อนข้างนาน
- V-Shape:
- เกิดการเปลี่ยนแนวโน้มอย่างรวดเร็ว
- มีทั้งแบบหัวกลับ (ขาขึ้นเป็นขาลง) และแบบฟื้นตัว (ขาลงเป็นขาขึ้น)
- มักเกิดจากข่าวสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างฉับพลัน
บทที่ 4 รูปแบบต่อเนื่อง
- รูปแบบการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง:
- Triangles: Symmetrical, Ascending, Descending
- Broadening Formation
- Flags และ Pennants
- Wedge
- Rectangle
- Inverted Head & Shoulders
- ช่องว่างราคา (Gaps):
- Common Gap: ไม่มีความสำคัญมาก
- Breakaway Gap: เกิดหลังจากการก่อตัวของรูปแบบเสร็จสมบูรณ์
- Runaway Gap: เกิดในช่วงกลางของการเคลื่อนไหว
- Exhaustion Gap: เกิดในช่วงท้ายของการเคลื่อนไหว
- ข้อสังเกตสำคัญ:
- รูปแบบเหล่านี้ช่วยในการคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา
- ควรพิจารณาปริมาณการซื้อขายประกอบด้วยเสมอ
- Gaps สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านได้
- การปิด Gap อาจมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทาง
- การนำไปใช้:
- ใช้รูปแบบเหล่านี้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ
- ระมัดระวังในการแปลความหมายของ Gaps เพราะแต่ละประเภทมีนัยยะต่างกัน
- ฝึกฝนการอ่านกราฟและรูปแบบต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ
บทที่ 5 แผนภาพ
Point and Figure Chart ดังนี้:
- ลักษณะเฉพาะของ Point and Figure Chart:
- ใช้สัญลักษณ์ X และ O แทนการเคลื่อนไหวของราคา
- ไม่แสดงเวลาหรือปริมาณการซื้อขาย
- เน้นการเปลี่ยนแปลงราคาที่มีนัยสำคัญเท่านั้น
- การสร้าง Point and Figure Chart:
- กำหนดขนาดของช่อง (box size)
- ใช้กฎ 3-box reversal ในการเปลี่ยนทิศทาง
- บันทึก X เมื่อราคาขึ้น และ O เมื่อราคาลง
- สัญญาณซื้อขาย:
- สัญญาณซื้อ: เมื่อราคาทะลุยอดเดิมขึ้นไป
- สัญญาณขาย: เมื่อราคาหลุดแนวรับลงมา
- เส้นแนวโน้ม (Trend Line):
- Bullish support line: ลากจากด้านล่างขึ้นไปทางขวา
- Bearish resistance line: ลากจากด้านบนลงมาทางขวา
- การกำหนดเป้าหมายราคา:
- Horizontal count: ใช้ความกว้างของการรวมตัวในการคำนวณ
- Vertical count: ใช้จำนวนช่องในการเปลี่ยนทิศทางครั้งแรก
- ข้อดีของ Point and Figure Chart:
- ลดสัญญาณรบกวน (noise) ในการเคลื่อนไหวของราคา
- เห็นแนวโน้มและจุดกลับตัวได้ชัดเจน
- สามารถใช้ในการกำหนดเป้าหมายราคาได้
- ข้อควรระวัง:
- ไม่แสดงเวลาและปริมาณการซื้อขาย ซึ่งอาจเป็นข้อมูลสำคัญ
- อาจให้สัญญาณช้ากว่าแผนภูมิแบบอื่น
บทที่ 6 ระบบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
- ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average):
- Simple Moving Average (SMA)
- Linear Weighted Moving Average (WMA)
- Exponential Moving Average (EMA) ใช้ในการระบุแนวโน้มและให้สัญญาณซื้อขาย
- Price Oscillator: ใช้ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น
- MACD (Moving Average Convergence Divergence): ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในการคำนวณ
- Bollinger Bands: ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ร่วมกับค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
- Parabolic SAR (Stop and Reverse):
- เป็นระบบที่ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบพิเศษ
- คำนวณโดยใช้ Acceleration Factor (AF) ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเกิดจุดสูงสุด/ต่ำสุดใหม่
- ใช้เป็นจุดกลับตัวของแนวโน้มและให้สัญญาณซื้อขาย
- ในแนวโน้มขาขึ้น SAR เป็นแนวรับ ในแนวโน้มขาลง SAR เป็นแนวต้าน
- สัญญาณซื้อขายเกิดเมื่อราคาตัดผ่านเส้น SAR
- ช่วยกำหนดจุดตัดขาดทุนที่ปรับตัวได้ตามราคา
บทที่ 7 เครื่องชี้ที่เกี่ยวข้องกับราคา
- เอกสารอธิบายเกี่ยวกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคหลายชนิดที่ใช้ในการวิเคราะห์ราคาหุ้น โดยเน้นที่ Oscillators ต่างๆ
- Momentum และ Rate of Change:
- วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาปัจจุบันเทียบกับราคาในอดีต
- ใช้บ่งชี้ความเร็วของการเคลื่อนไหวของราคา
- Relative Strength Index (RSI):
- พัฒนาโดย J. Welles Wilder เพื่อแก้ปัญหาของ Momentum
- มีค่าอยู่ระหว่าง 0-100
- ใช้บ่งชี้สภาวะ Overbought และ Oversold
- Stochastic:
- พัฒนาโดย George Lane
- ใช้วัดตำแหน่งของราคาปิดเทียบกับช่วงราคาสูงสุด-ต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง
- William's %R:
- คล้ายกับ Stochastic แต่มีสเกลกลับหัว (0-100 เป็น 0 ถึง -100)
- KST Index:
- พัฒนาโดย Martin J. Pring
- รวม Rate of Change หลายช่วงเวลาเข้าด้วยกัน
- Directional Movement System (DMS):
- ประกอบด้วย +DI, -DI และ ADX
- ใช้วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มตลาด
- การใช้งาน Oscillators:
- มักใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น เส้นแนวโน้ม
- ใช้ดู Divergence ระหว่าง Oscillator กับราคา
- ใช้หาจุดซื้อขายเมื่อ Oscillator เข้าสู่เขต Overbought/Oversold
- ข้อควรระวัง:
- Oscillators อาจให้สัญญาณผิดพลาดได้ในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน
- ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์แนวโน้มและปัจจัยอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจ
บทที่ 8 ดัชนีวัดความแกว่งในปริมาณการซื้อขาย
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ได้ดังนี้:
- การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายช่วยวัดความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของหุ้นภายใต้การเคลื่อนไหวของราคา
- ปริมาณการซื้อขายมักเป็นตัวยืนยันแนวโน้มของราคา:
- ราคาขึ้นพร้อมปริมาณสูง = ยืนยัน Uptrend
- ราคาลงพร้อมปริมาณสูง = ยืนยัน Downtrend
- ปริมาณต่ำในช่วง Consolidation หรือ Sideways
- เครื่องมือวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายที่สำคัญ:
- On Balance Volume (OBV): วัดการสะสมและการกระจายหุ้น โดยดูความสัมพันธ์ระหว่างราคาปิดกับปริมาณ
- Chaikin Accumulation/Distribution: พัฒนาต่อจาก OBV โดยใช้ตำแหน่งราคาปิดเทียบกับช่วงราคาสูงสุด-ต่ำสุด
- Price & Volume Trend (PVT): คล้าย OBV แต่ใช้เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงราคาเป็นตัวถ่วงน้ำหนัก
- Volume Oscillator: แสดงความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นและระยะยาวของปริมาณ
- Volume Rate of Change: วัดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา
- การใช้งานทั่วไป:
- มองหาการ Divergence ระหว่างราคากับตัวชี้วัดปริมาณ
- ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ราคาเพื่อยืนยันสัญญาณ
- ช่วยบ่งชี้จุดกลับตัวของแนวโน้ม
- ข้อควรระวัง:
- ปริมาณการซื้อขายอาจถูกบิดเบือนได้ยากกว่าราคา
- ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจ
บทที่ 9 เครื่องชี้ภาวะตลาด
เครื่องชี้วัดภาวะตลาดโดยรวมได้ดังนี้:
- Advance/Decline Line (AD Line)
- วัดความกว้างของตลาดโดยดูจำนวนหุ้นที่ราคาขึ้นเทียบกับหุ้นที่ราคาลง
- ใช้ดู Divergence กับดัชนีตลาด เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
- Overbought/Oversold Index (OBOS)
- ปรับปรุงจาก AD Line โดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
- บ่งชี้ภาวะตลาดที่ร้อนแรงหรือซบเซาเกินไป
- McClellan Oscillator (MO)
- คำนวณจากผลต่างของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นและยาวของ AD Line
- ให้สัญญาณเร็วกว่า AD Line ปกติ
- TRIN (ARM's Index)
- ใช้ข้อมูลจำนวนและปริมาณการซื้อขายของหุ้นที่ขึ้นและลง
- ค่ามากกว่า 1 บ่งชี้ตลาดไม่ดี น้อยกว่า 1 บ่งชี้ตลาดดี
- Market Thrust และ Thrust Oscillator
- ปรับปรุงจาก TRIN เพื่อแก้ปัญหาความคลาดเคลื่อนในการคำนวณ
- ให้สัญญาณที่แม่นยำกว่า TRIN
การใช้งานทั่วไป:
- ดู Divergence กับดัชนีตลาด
- หาจุดซื้อขายจากการตัดเส้นค่าเฉลี่ยหรือเส้นแนวโน้ม
- ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ
ข้อควรระวัง:
- ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจ
- บางเครื่องมืออาจต้องปรับค่าให้เหมาะสมกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลง
บทที่ 10 ตัวเลขของฟิโบนาวี่และการประยุกต์ใช้
ตัวเลขฟีโบนาชชี (Fibonacci Numbers) และการนำมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของตลาดหุ้น โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:
- ประวัติและความเป็นมาของตัวเลขฟีโบนาชชี
- คุณสมบัติพิเศษของลำดับตัวเลขฟีโบนาชชี
- อัตราส่วนทองคำ (Golden Ratio) ที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขฟีโบนาชชี
- การพบอัตราส่วนทองคำในธรรมชาติและสถาปัตยกรรม
- การนำตัวเลขฟีโบนาชชีมาใช้ในการวิเคราะห์ตลาดหุ้น
- การคำนวณเป้าหมายราคาโดยใช้ Fibonacci Retracement และ Extension
- ตัวอย่างการใช้งานจริงกับหุ้น BBL
- ข้อควรระวังในการใช้เครื่องมือ Fibonacci
บทที่ 11 ทฤษฎีคลื่นของอีเลียต
สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับทฤษฎีคลื่นของ Elliott ดังนี้:
- ทฤษฎีคลื่นของ Elliott เป็นการศึกษาพฤติกรรมการลงทุนของมวลชน โดยใช้หลักคณิตศาสตร์และแผนภาพราคา
- รูปแบบพื้นฐานของคลื่น Elliott ประกอบด้วยคลื่นกระตุ้น 5 ลูก และคลื่นปรับตัว 3 ลูก
- คลื่นกระตุ้นเคลื่อนไหวตามทิศทางแนวโน้มหลัก ส่วนคลื่นปรับตัวเคลื่อนไหวสวนทางกับแนวโน้มหลัก
- รูปแบบคลื่นปรับตัวมีหลายแบบ เช่น Zigzag, Flat, Triangle เป็นต้น
- ทฤษฎีนี้ใช้ตัวเลข Fibonacci ในการกำหนดเป้าหมายราคาและเวลา
- การนับคลื่น (wave count) มีกฎเกณฑ์เฉพาะเพื่อระบุตำแหน่งของคลื่นในตลาด
- นักวิเคราะห์ใช้ทฤษฎีนี้เพื่อคาดการณ์ทิศทางตลาดและจุดกลับตัวของราคา
- อย่างไรก็ตาม การใช้งานในทางปฏิบัติอาจมีความซับซ้อนและต้องอาศัยประสบการณ์
บทที่ 12 ทฤษฏีแกนน์
สรุปสาระสำคัญของทฤษฎี Gann ดังนี้:
- Gann เชื่อว่าการเคลื่อนไหวของราคาสามารถคาดการณ์ได้ โดยใช้หลักการทางคณิตศาสตร์และเรขาคณิต
- แนวคิดหลักของ Gann ประกอบด้วย:
- Cardinal Square: ใช้หาแนวรับแนวต้านในอนาคต
- เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทิศทาง: ใช้คาดการณ์จุดกลับตัวของราคา
- Geometric Angles: ใช้มุมต่างๆ ในการวิเคราะห์แนวโน้มราคา
- Gann's 50% retracement rule: เชื่อว่าราคามักจะปรับตัวที่ระดับ 50% ของการเคลื่อนไหวก่อนหน้า
- การผสมผสาน percentage retracement กับ geometric angle line เพื่อหาจุดสำคัญในการซื้อขาย
- การใช้ Gann angles ร่วมกับ retracement levels เพื่อหาแนวรับแนวต้านที่มีนัยสำคัญ
- ทฤษฎีของ Gann ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างราคาและเวลา
- แม้จะมีหลักการที่น่าสนใจ แต่ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน
บทที่ 13 ทฤษฏีคลื่นวัฏจักร
วิเคราะห์วัฏจักรในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:
- วัฏจักรในตลาดการเงินเกิดจากการรวมตัวของคลื่นวัฏจักรหลายๆ คลื่นที่มีความยาวคลื่นต่างกัน
- การวัดวัฏจักรสามารถทำได้หลายวิธี เช่น วิธีทางสถิติ และการวัดด้วยสายตาประกอบการคำนวณอย่างง่าย
- ความยาวของวัฏจักรควรน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของข้อมูลทั้งหมดที่มี เพื่อให้สามารถวัดได้อย่างมีนัยสำคัญ
- การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) สามารถช่วยกรองความผันผวนระยะสั้นออกไปได้
- Momentum เป็นตัวชี้วัดที่มักเคลื่อนไหวเร็วกว่าราคา และสามารถเตือนถึงการเปลี่ยนแนวโน้มได้ก่อนราคาจะเปลี่ยนจริง
- RSI และ Stochastic เป็นเครื่องมือที่ใช้หลักการคล้ายกัน โดยระยะเวลาที่เหมาะสมในการคำนวณคือประมาณครึ่งรอบวัฏจักร
- การปรับระยะเวลาในการคำนวณเครื่องมือต่างๆ ให้เหมาะสมกับวัฏจักรของตลาดเป็นสิ่งสำคัญในการใช้งานให้มีประสิทธิภาพ
บทที่ 14 การวิเคราะห์แผนภูมิแบบแท่งเทียนเบื้องต้น
การวิเคราะห์แผนภูมิแบบแท่งเทียนของญี่ปุ่น (Japanese Candlestick Charting) ได้ดังนี้:
- เป็นวิธีวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น และกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในประเทศไทย
- มีข้อดีคือไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลย้อนหลังยาวนาน เหมาะสำหรับวิเคราะห์แนวโน้มระยะสั้น
- องค์ประกอบของแท่งเทียนประกอบด้วย:
- ส่วนตัวเทียน (Real Body)
- ไส้เทียน (Shadow)
- สีของแท่งเทียนบ่งบอกทิศทางของราคา:
- สีขาว/สีเขียว แสดงว่าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด (ตลาดเป็นบวก)
- สีดำ/สีแดง แสดงว่าราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด (ตลาดเป็นลบ)
- รูปแบบพิเศษที่สำคัญ:
- Bozu: แท่งเทียนที่ไม่มีไส้เทียนด้านใดด้านหนึ่ง
- Doji: แท่งเทียนที่ราคาเปิดและปิดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก
- Doji มีความสำคัญมากเพราะมักเกิดขึ้นเมื่อตลาดกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง
- มีรูปแบบ Doji หลายแบบ เช่น Dragonfly Doji, Gravestone Doji, Four-Price Doji
- การวิเคราะห์แบบแท่งเทียนสามารถใช้ร่วมกับวิธีวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ ได้
บทที่ 15 รูปแบบการเปลี่ยนทิศทางของการวิเคราะห์แบบแท่งเทียน
การวิเคราะห์แผนภูมิแท่งเทียนแบบญี่ปุ่น (Japanese Candlestick Charting) ดังนี้:
- เป็นวิธีวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้ข้อมูลไม่มาก เหมาะสำหรับวิเคราะห์แนวโน้มระยะสั้น
- รูปแบบการเปลี่ยนทิศทาง (Reversal Pattern) ที่สำคัญ ได้แก่:
- Engulfing Pattern
- Dark Cloud Cover และ Piercing Line
- Hammer และ Hanging Man
- Morning Star และ Evening Star
- Shooting Star และ Inverted Hammer
- Harami Lines
- Tweezers Top และ Bottom
- Counterattack Lines
- Tower Top และ Tower Bottom
- Two Crows และ Three Black Crows
- รูปแบบเหล่านี้ใช้ลักษณะและความสัมพันธ์ของแท่งเทียน 2-3 แท่งในการบ่งชี้การเปลี่ยนแนวโน้ม
- ความน่าเชื่อถือของสัญญาณจะเพิ่มขึ้นเมื่อเกิดร่วมกับรูปแบบอื่นๆ หรือเกิดในจุดสำคัญของแนวโน้ม
- การวิเคราะห์ควรพิจารณาปริมาณการซื้อขาย (Volume) ร่วมด้วยเพื่อยืนยันสัญญาณ
- รูปแบบเหล่านี้สามารถเทียบเคียงได้กับรูปแบบการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบตะวันตก
- การเข้าใจแนวคิดและหลักการของรูปแบบต่างๆ จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องท่องจำ
- การใช้การวิเคราะห์แบบแท่งเทียนร่วมกับเทคนิคการวิเคราะห์อื่นๆ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์
บทที่ 16 รูปแบบต่อเนื่องในการวิเคราะห์แท่งเทียน
สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับรูปแบบต่อเนื่อง (Continuous Patterns) ในการวิเคราะห์แผนภูมิแท่งเทียนได้ดังนี้:
- Gap (หน้าต่าง) มีความสำคัญในการวิเคราะห์ โดยเฉพาะเมื่อถูกปิด (filled) และอาจกลายเป็นแนวรับหรือแนวต้านของราคา
- Tasuki Gap เป็นรูปแบบที่บ่งชี้ว่าแนวโน้มยังคงใช้ได้อยู่ มักเป็นเพียงการปรับตัวเล็กน้อย
- High-Price และ Low-Price Gapping Plays เป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังจะเคลื่อนไหวต่อในทิศทางเดิม หลังจากพักตัวระยะหนึ่ง
- Gapping Side-By-Side White Lines เป็นรูปแบบที่พบได้ไม่บ่อย แต่บ่งชี้ว่าตลาดจะเคลื่อนไหวต่อในทิศทางเดิม
- Rising Three และ Falling Three เป็นรูปแบบที่แสดงถึงการพักตัวชั่วคราวก่อนที่ตลาดจะเคลื่อนไหวต่อในทิศทางเดิม
- Three Advancing White Soldiers เป็นรูปแบบต่อเนื่องในตลาดขาขึ้น แต่ต้องระวังไม่ให้สับสนกับรูปแบบที่คล้ายกันแต่มีความหมายตรงกันข้าม เช่น Advance Block หรือ Stalled Pattern
- Separating Lines เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นเมื่อราคาเปิดของแท่งเทียนสองแท่งที่มีสีต่างกันอยู่ที่ระดับเดียวกัน บ่งชี้ว่าแนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อไป
บทที่ 17 กระบวนยุทธ์
สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการซื้อขายหุ้นได้ดังนี้:
- การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคหลายๆ ตัวร่วมกัน เพื่อยืนยันสัญญาณซื้อขาย
- การพิจารณาทั้งแนวโน้มระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวประกอบกัน
- การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นแนวรับแนวต้าน
- การดู divergence ระหว่างราคากับตัวชี้วัดทางเทคนิค
- การทยอยเข้าซื้อและขายทำกำไรเป็นระยะ ไม่เน้นการลงทุนแบบทั้งหมดในครั้งเดียว
- การตั้ง stop loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง
- การใช้ volume ประกอบการวิเคราะห์
- การระมัดระวังในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะ overbought หรือ oversold
- การพิจารณาปัจจัยพื้นฐานร่วมด้วย ไม่ใช้แค่ปัจจัยทางเทคนิคอย่างเดียว
- การฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง
FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง