แท่งเทียนกลับตัว เป็นรูปแบบการกลับตัวของกราฟแท่งเทียน ที่ได้รับความนิยมในตลาด Forex ตลาดหุ้น และการวิเคราะห์ตลาดเกิดใหม่อย่างตลาด crypto นั่นก็เพราะว่า ไม่ว่าตลาดใด ๆ ก็มีกราฟแท่งเทียนใช้ สาเหตุที่กราฟแท่งเทียนใช้ได้ผลก็เพราะว่า กราฟแท่งเทียนนั้นเป็นกราฟที่สร้างมาจากราคา ไม่ได้มีความซับซ้อนเหมือนกับ indicator อีกทีหนึ่ง การตีความกราฟแท่งเทียน จึงตรงไปตรงมากกว่าการใช้งาน indicator ที่สร้างมาจากราคา ทำให้การเคลื่อนไหวของ indicator ช้ากว่าราคาเสมอ อย่างไรก็ตาม การตีความกราฟแท่งเทียน ต้องอาศัยความชำนาญในการวิเคราะห์ แม้ว่าจะรู้ว่ามีรูปแบบอย่างไรก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำกำไรออกจากตลาดไปได้ง่าย ๆ ในบทความนี้จึงเป็นการรวบรวมรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว ที่สำคัญในตลาดเพื่อให้ความรู้และฝึกความชำนาญ โดยรวบรวมจากเว็บไซต์ในต่างประเทศที่ใช้การวิเคราะห์แท่งเทียนกลับตัว แท่งเทียนกลับตัว คืออะไร แท่งเทียนกลับตัว กล่าวถึง รูปแบบของกราฟแท่งเทียน ที่บ่งบอกสัญญาณว่า ทิศทางของราคาจะมีการเปลี่ยนทิศทาง จากการเคลื่อนไหวก่อนหน้า เช่น การเคลื่อนไหวก่อนหน้าเป็นเทรนขาขึ้น เมื่อเกิดกราฟแท่งเทียนกลับตัว ทำให้กราฟเปลี่ยนเป็นขาลง โดยรูปแบบของกราฟแท่งเทียน เพียงไม่กี่แท่งจะเป็นตัวกำหนด ทั้งนี้เพราะว่า ลักษณะของกราฟนั้นได้สะท้อนอารมณ์ของคนในตลาดขึ้นเรียบร้อย รูปแบบของกราฟแท่งเทียนกลับตัว กราฟแท่งเทียนกลับตัวมีทั้งหมด 12 รูปแบบดังต่อไปนี้ Engulfing candlestick Pin bar [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Evening Doji Star คืออะไร? Evening Doji Star เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: เกิดขึ้นในช่วงแนวโน้มขาขึ้น (uptrend) ประกอบด้วยแท่งเทียนสามแท่ง แท่งแรกเป็นแท่งเทียนสีขาว (bullish) ขนาดใหญ่ แท่งที่สองเป็น Doji (แท่งเทียนที่ราคาเปิดและปิดใกล้เคียงกันมาก) ที่มี gap ขึ้นจากแท่งแรก แท่งที่สามเป็นแท่งเทียนสีดำ (bearish) ที่ปิดลึกเข้าไปในตัวแท่งเทียนของแท่งแรก Evening Doji Star ถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง (bearish reversal pattern) ที่มีความน่าเชื่อถือสูง โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น วิธีใช้ Evening Doji Star ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Evening Doji Star ต้องเกิดขึ้นในช่วงแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน และมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเกิดขึ้นใกล้กับระดับแนวต้านหรือจุดสูงสุดของแนวโน้ม ตรวจสอบลักษณะของแท่งเทียน: แท่งแรกต้องเป็นแท่งสีขาวขนาดใหญ่ แท่งที่สองต้องเป็น Doji ที่มี gap ขึ้นจากแท่งแรก แท่งที่สามต้องเป็นแท่งสีดำที่ปิดลึกเข้าไปในตัวแท่งเทียนของแท่งแรก วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในแท่งที่สามอาจเป็นสัญญาณยืนยันที่แข็งแกร่ง สังเกตแท่งเทียนที่ตามมา: แท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลัง [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Bump and Run Reversal คืออะไร? Bump and Run Reversal (BARR) เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่ถูกพัฒนาโดย Thomas Bulkowski ซึ่งสามารถใช้ในการคาดการณ์การกลับตัวของราคา โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยสามส่วนหลัก: Lead-in phase, Bump phase, และ Run phase มักเกิดขึ้นหลังจากช่วงแนวโน้มขาขึ้นที่ยาวนาน แสดงถึงการเก็งกำไรที่มากเกินไปและการกลับตัวของราคาที่รุนแรง ลักษณะสำคัญของ Bump and Run Reversal Lead-in phase: เป็นช่วงเริ่มต้นของรูปแบบ ราคามีการเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาขึ้นที่สม่ำเสมอ สามารถลากเส้นแนวโน้มด้านล่างที่เชื่อมจุดต่ำสุดได้ Bump phase: ราคาเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและชันมากขึ้น มักมีความผันผวนสูงและปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น ราคาอาจสร้างจุดสูงสุดหลายจุดในช่วงนี้ Run phase: ราคาเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว มักมีการทะลุเส้นแนวโน้มด้านล่างที่ลากมาจาก Lead-in phase เป็นสัญญาณของการกลับตัวและการเริ่มต้นของแนวโน้มขาลง วิธีใช้ Bump and Run Reversal ในการวิเคราะห์ การระบุรูปแบบ: สังเกตการเคลื่อนไหวของราคาที่มีลักษณะเป็นไปตามสามเฟสข้างต้น [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Piercing Line คืออะไร? Piercing Line เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งติดต่อกัน เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง แท่งแรกเป็นแท่งเทียนสีดำ (bearish) ขนาดใหญ่ แท่งที่สองเป็นแท่งเทียนสีขาว (bullish) ที่เปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งแรก แท่งที่สองปิดสูงกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งแรก แต่ไม่สูงกว่าจุดเปิดของแท่งแรก Piercing Line ถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น (bullish reversal pattern) โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลงหรือที่ระดับแนวรับสำคัญ วิธีใช้ Piercing Line ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Piercing Line มีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน หรือที่ระดับแนวรับสำคัญ ตรวจสอบลักษณะของแท่งเทียน: แท่งแรกต้องเป็นแท่งสีดำขนาดใหญ่ แท่งที่สองต้องเป็นแท่งสีขาวที่เปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งแรก แท่งที่สองต้องปิดสูงกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งแรก แต่ไม่สูงกว่าจุดเปิดของแท่งแรก วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในแท่งที่สองอาจเป็นสัญญาณยืนยันที่แข็งแกร่ง สังเกตแท่งเทียนที่ตามมา: แท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลัง Piercing Line มีความสำคัญในการยืนยันการกลับตัว ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น: เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (RSI) เพื่อยืนยันสัญญาณ ข้อควรระวังในการใช้ Piercing Line [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Candlestick Pattern คืออะไร Candlestick Pattern หรือรูปแบบของเทียนเทียน (Candlestick) คือ เทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีที่มาจากญี่ปุ่น ถูกใช้ในการวิเคราะห์ราคาของหุ้น, สินค้าหรือสกุลเงินในตลาดทุนและตลาดเงินเพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต Candlestick มีส่วนประกอบสำคัญ 4 ส่วน คือ ราคาเปิด (Open), ราคาปิด (Close), ราคาสูงสุด (High) และราคาต่ำสุด (Low) ภายในช่วงเวลาที่กำหนด ถ้าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิดจะได้เทียนสีเขียวหรือขาว แต่ถ้าราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด เราจะได้เทียนสีแดงหรือดำ มีหลากหลายรูปแบบ Candlestick ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ รวมถึง Bullish Engulfing, Bearish Engulfing, Hammer, Hanging Man, Doji และอื่น ๆ ทั้งหมดนี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางของตลาด และสามารถทำการลงทุนอย่างมีระบบและรอบคอบได้ ในส่วนของการใช้งาน Candlestick Pattern ควรถูกใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์เทคนิคอื่น ๆ เพื่อยืนยันแนวโน้มหรือสัญญาณที่ได้ การใช้มันเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ให้ความแม่นยำที่ต้องการ Candlestick Pattern มีกี่แบบ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
กราฟแท่งเทียน คืออะไร กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) เป็นวิธีการสรุปและแสดงข้อมูลราคาของหลักทรัพย์ หรือสินทรัพย์ทางการเงินในรูปแบบที่ช่วยให้ผู้นำข้อมูลไปใช้สามารถเข้าใจแนวโน้มราคาได้ดีขึ้น กราฟแท่งเทียนมีประวัติความเป็นมานานหลายศตวรรษ มาจากประเทศญี่ปุ่น กราฟแท่งเทียนประกอบด้วยสี่ส่วนหลัก ซึ่งมีชื่อเรียกเป็น “เปิด” (Open) “สูง” (High) “ต่ำ” (Low) และ “ปิด” (Close) ถ้าราคาปิดอยู่สูงกว่าราคาเปิด แท่งเทียนจะเป็นสีเขียวหรือขาว และถ้าราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด แท่งเทียนจะเป็นสีแดงหรือดำ แท่งเทียนช่วยให้นักลงทุนเห็นแนวโน้มราคาสินทรัพย์ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจในการซื้อหรือขาย ในทำนองเดียวกัน มันสามารถใช้เพื่อระบุรูปแบบทางเทคนิคในการซื้อขาย เช่น เทรนด์ การกลับตัว และอื่น ๆ ที่สามารถช่วยในการพยากรณ์ความเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต องค์ประกอบของกราฟแท่งเทียน กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) มีสี่ค่าหลักที่ใช้ในการสร้างแต่ละ “แท่งเทียน” ซึ่งประกอบด้วย “เปิด” (Open), “ปิด” (Close), “สูงสุด” (High) และ “ต่ำสุด” (Low) เปิด (Open): ราคาที่สินทรัพย์เริ่มต้นการซื้อขายในระยะเวลาที่กำหนด (เช่น วัน, [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]