Spinning Top คืออะไร? Spinning Top เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: มีตัวแท่งเทียน (body) ขนาดเล็ก มีเงาบนและเงาล่างที่ยาวกว่าตัวแท่งเทียน เงาบนและเงาล่างมีความยาวใกล้เคียงกัน สีของแท่งเทียนอาจเป็นสีขาวหรือสีดำก็ได้ Spinning Top มักถูกมองว่าเป็นสัญญาณของความไม่แน่นอนในตลาด โดยแสดงถึงการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่มีกำลังใกล้เคียงกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มหรือการพักตัวของราคา วิธีใช้ Spinning Top ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Spinning Top มีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มที่ชัดเจน หรือเมื่อราคาอยู่ใกล้ระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ ตรวจสอบปริมาณการซื้อขาย: หาก Spinning Top เกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่ลดลง อาจเป็นสัญญาณของการพักตัวของแนวโน้มปัจจุบัน สังเกตแท่งเทียนที่ตามมา: แท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลัง Spinning Top มักมีความสำคัญในการบ่งชี้ทิศทางต่อไปของตลาด วิเคราะห์ความยาวของเงา: ยิ่งเงายาวมากเท่าไหร่ ยิ่งแสดงถึงความผันผวนและความไม่แน่นอนในช่วงเวลานั้น ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น: เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (RSI) เพื่อยืนยันสัญญาณ ข้อควรระวังในการใช้ Spinning Top ไม่ควรใช้เพียงอย่างเดียว: การวิเคราะห์ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Long Lower Shadow คืออะไร? Long Lower Shadow เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: มีเงาล่างที่ยาวมาก โดยมีความยาวอย่างน้อย 2/3 ของความยาวทั้งหมดของแท่งเทียน ตัวแท่งเทียน (body) มีขนาดสั้นเมื่อเทียบกับความยาวทั้งหมดของแท่งเทียน อาจเป็นแท่งเทียนสีขาวหรือสีดำก็ได้ มีเงาบนสั้นหรือไม่มีเลย Long Lower Shadow มักถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงแรงซื้อที่เข้ามาในตลาด โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลงหรือที่ระดับแนวรับ วิธีใช้ Long Lower Shadow ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Long Lower Shadow มีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน หรือเมื่อราคาอยู่ใกล้ระดับแนวรับที่สำคัญ ตรวจสอบปริมาณการซื้อขาย: หาก Long Lower Shadow เกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวที่แข็งแกร่ง สังเกตแท่งเทียนที่ตามมา: แท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลัง Long Lower Shadow มักมีความสำคัญในการยืนยันแนวโน้มหรือการกลับตัว วิเคราะห์ความยาวของเงาล่าง: ยิ่งเงาล่างยาวมากเท่าไหร่ ยิ่งแสดงถึงแรงซื้อที่รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น: เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Long Upper Shadow คืออะไร? Long Upper Shadow เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: มีเงาบนที่ยาวมาก โดยมีความยาวอย่างน้อย 2/3 ของความยาวทั้งหมดของแท่งเทียน ตัวแท่งเทียน (body) มีขนาดสั้นเมื่อเทียบกับความยาวทั้งหมดของแท่งเทียน อาจเป็นแท่งเทียนสีขาวหรือสีดำก็ได้ มีเงาล่างสั้นหรือไม่มีเลย Long Upper Shadow มักถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงแรงขายที่เข้ามาในตลาด โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้นหรือที่ระดับแนวต้าน วิธีใช้ Long Upper Shadow ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Long Upper Shadow มีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน หรือเมื่อราคาอยู่ใกล้ระดับแนวต้านที่สำคัญ ตรวจสอบปริมาณการซื้อขาย: หาก Long Upper Shadow เกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวที่แข็งแกร่ง สังเกตแท่งเทียนที่ตามมา: แท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลัง Long Upper Shadow มักมีความสำคัญในการยืนยันแนวโน้มหรือการกลับตัว วิเคราะห์ความยาวของเงาบน: ยิ่งเงาบนยาวมากเท่าไหร่ ยิ่งแสดงถึงแรงขายที่รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น: เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Judas Candle คืออะไร? Judas Candle เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งติดต่อกัน แท่งแรกเป็นแท่งเทียนสีดำ (bearish) ขนาดใหญ่ แท่งที่สองเป็นแท่งเทียนสีขาว (bullish) ที่มีขนาดเล็กกว่า แท่งที่สองมีเงาล่าง (lower shadow) ที่ยาวเท่ากับความยาวของแท่งแรก ชื่อ “Judas Candle” มาจากการเปรียบเทียบกับการทรยศของยูดาส อิสคาริโอท ในคัมภีร์ไบเบิล เนื่องจากรูปแบบนี้มักจะหลอกให้นักลงทุนคิดว่าตลาดกำลังจะกลับตัวขึ้น แต่ในความเป็นจริงอาจเป็นเพียงการพักตัวชั่วคราวก่อนที่ราคาจะลงต่อ Judas Candle มักถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการยืนยันแนวโน้มขาลง (bearish continuation pattern) แม้ว่าจะมีแท่งเทียนสีขาวเกิดขึ้นก็ตาม วิธีใช้ Judas Candle ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Judas Candle มักเกิดขึ้นในช่วงแนวโน้มขาลง และมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเกิดขึ้นหลังจากการลงอย่างรุนแรง ตรวจสอบลักษณะของแท่งเทียน: แท่งแรกต้องเป็นแท่งสีดำขนาดใหญ่ แท่งที่สองต้องเป็นแท่งสีขาวที่มีขนาดเล็กกว่า เงาล่างของแท่งที่สองต้องมีความยาวเท่ากับความยาวของแท่งแรก วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายที่ลดลงในแท่งที่สองอาจเป็นสัญญาณยืนยันของ Judas Candle สังเกตแท่งเทียนที่ตามมา: แท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลัง Judas Candle มีความสำคัญในการยืนยันการดำเนินต่อของแนวโน้มขาลง ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น: [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
กราฟแท่งเทียน คืออะไร กราฟแท่งเทียน (Candlestick chart) เป็นวิธีหนึ่งในการแสดงข้อมูลการซื้อขายหุ้น หรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ ที่มีการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาที่กำหนด กราฟแท่งเทียนใช้รูปแบบของแท่งเทียนที่มีลักษณะเป็นตารางเรียงกันในแนวตั้ง โดยแต่ละแท่งจะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับราคาเปิดตลาด (Open), ราคาปิดตลาด (Close), ราคาสูงสุดในช่วงเวลา (High), และราคาต่ำสุดในช่วงเวลา (Low) ของหุ้นหรือสินทรัพย์ที่กำลังวิ่งราคาในช่วงนั้น ๆ กราฟแท่งเทียนประกอบด้วยส่วนของตัวแท่ง (body) และส่วนของเส้นระดับราคาสูงสุดและต่ำสุด (wicks) โดยส่วนของตัวแท่งจะมีความหนาหรือบางขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างราคาเปิดตลาดและราคาปิดตลาด ถ้าราคาปิดตลาดสูงกว่าราคาเปิดตลาด จะมีส่วนตัวแท่งแสดงขึ้นด้านบน ในทางกลับกัน ถ้าราคาปิดตลาดต่ำกว่าราคาเปิดตลาด จะมีส่วนตัวแท่งแสดงลงด้านล่าง หากแท่งต้นมีสีเขียว แสดงถึงราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด ในขณะที่แท่งต้นสีแดงแสดงถึงราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด การวิเคราะห์รูปแบบและการเคลื่อนไหวของแท่งเทียนช่วยให้นักลงทุนสามารถตรวจสอบแนวโน้มราคา และดำเนินการตัดสินใจซื้อขายในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลักษณะของกราฟแท่งเทียน แผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick Chart) มีลักษณะแท่งเทียนที่แสดงข้อมูลราคาของคู่สกุลเงินในรูปแบบต่าง ๆ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์และสังเกตแนวโน้มของราคาในตลาด โดยการแสดงข้อมูลราคาของสินทรัพย์ในรูปแบบของแท่งเทียนที่สามารถแสดงความเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะเวลาที่กำหนดได้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้ แท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick) แท่งเทียนขาขึ้นเป็นแท่งเทียนที่แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นของราคาในตลาด ลักษณะของแท่งเทียนขาขึ้นมีลักษณะ ใส้เทียนล่าง (Lower Shadow) [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
กราฟแท่งเทียน คืออะไร กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) คือ หนึ่งในวิธีการแสดงข้อมูลราคาของหุ้น, สินค้าหรือเงินตราต่างประเทศในตลาดการเงิน โดยเน้นไปที่การแสดงภาพรวมของการเคลื่อนไหวราคาในแต่ละช่วงเวลาที่กำหนด กราฟแท่งเทียนมีความสามารถในการสะท้อนถึงอารมณ์และความรู้สึกของนักลงทุนในตลาด และมักถูกนำมาใช้กับการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อหาแนวโน้มของตลาดและสัญญาณซื้อขาย ส่วนประกอบหลักของกราฟแท่งเทียนได้แก่ ราคาเปิด (Open Price): ราคาที่เริ่มต้นในช่วงเวลาที่กำหนด ราคาปิด (Close Price): ราคาสิ้นสุดในช่วงเวลานั้น ราคาสูงสุด (High Price): ราคาที่สูงที่สุดในช่วงเวลานั้น ราคาต่ำสุด (Low Price): ราคาที่ต่ำที่สุดในช่วงเวลานั้น ภาพรวมของกราฟแท่งเทียน ส่วนที่เป็นสี (ที่กล่าวว่าเป็น “เทียน” หรือ “Body”) แสดงถึงความแตกต่างระหว่างราคาเปิดกับราคาปิด หากแท่งเทียนเป็นสีเขียวหรือขาว หมายความว่าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด (ราคาขึ้น) หากแท่งเทียนเป็นสีแดงหรือดำ หมายความว่าราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด (ราคาลดลง) “เสา” หรือ “Shadow” ที่มีทั้งด้านบนและด้านล่างของเทียนแสดงถึงการเคลื่อนไหวราคาในช่วงเวลานั้น จากราคาสูงสุดไปถึงราคาต่ำสุด จิตวิทยาแท่งเทียน เครื่องมือของนักลงทุน จิตวิทยาแท่งเทียน (candlestick chart) เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ในการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้น หรือตลาดเงินอื่น ๆ จิตวิทยาในที่นี้คือการแสดงถึงการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในแต่ละช่วงเวลา [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
แท่งเทียน คืออะไร แท่งเทียนหรือ Candlestick เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้สำหรับการแสดงราคาที่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่กำหนดไว้ วิธีนี้มาจากญี่ปุ่น และเป็นที่นิยมในการวิเคราะห์กราฟราคาตลาดหุ้น สกุลเงิน และตลาดอื่นๆ แท่งเทียนประกอบด้วยสี่ส่วนหลักคือ ราคาเปิด (Open Price) : ราคาที่เริ่มต้นในช่วงเวลาที่กำหนด ราคาปิด (High Price) : ราคาที่สิ้นสุดในช่วงเวลาที่กำหนด ราคาสูงสุด (Low Price) : ราคาที่สูงที่สุดที่ถูกทำการซื้อขายในช่วงเวลาที่กำหนด ราคาต่ำสุด (Low Price) : ราคาที่ต่ำที่สุดที่ถูกทำการซื้อขายในช่วงเวลาที่กำหนด ถ้าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด แท่งเทียนจะถูกแสดงเป็นสีเขียว หรือขาว(ขึ้นอยู่กับการตั้งค่า) และถ้าราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด แท่งเทียนจะถูกแสดงเป็นสีแดง หรือดำ ในส่วนของ “ไส้เทียน” คือ เส้นที่ยื่นออกจากตัวแท่งเทียน แทนราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลานั้น ตัวแท่งเทียนในภาพรวมแสดงถึงกระแสความรู้สึกของผู้ลงทุนในตลาด และสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการทำนายแนวโน้มของตลาดในอนาคต แท่งเทียนบอกอะไรในการเทรด การวิเคราะห์แท่งเทียน (Candlestick) สามารถช่วยให้นักเทรดทำความเข้าใจถึงความผันผวนของราคา, แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงราคา และเป็นสัญญาณแนะนำสำหรับการทำการซื้อขาย มีหลากหลายรูปแบบแท่งเทียนที่นักเทรดทำใช้เป็นสัญญาณ บางรูปแบบมีความแม่นยำสูงเมื่อใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม แท่งเทียนเดี่ยว: มีแท่งเทียนที่มีความหมายด้วยตัวเอง เช่น Doji [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Rejection pattern คืออะไร Rejection pattern คือ รูปแบบหนึ่งของการวิเคราะห์ทางเทคนิคในการซื้อขายหุ้น, Forex หรือเครื่องมือการลงทุนอื่น ๆ ในตลาดทางการเงิน เป็นการเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินการของราคาในช่วงเวลาที่มีสัญญาณการปฏิเสธ (rejection) หรือการต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่สำคัญ การที่ราคาถูก “ปฏิเสธ” มักจะเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงทางทิศทางของราคา นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม rejection pattern จึงมักถูกนำมาใช้ในการทำนายการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา และ Rejection pattern มักจะปรากฏในรูปของ ‘Pin Bar’ หรือ ‘Hammer’ ในกราฟแท่งเทียน (Candlestick) Pin Bar มีลักษณะคล้ายหมุด โดยมีส่วน ‘เรียวยาว’ ที่ถูกเรียกว่า ‘wick’ และส่วน ‘สั้น’ ที่ถูกเรียกว่า ‘body’ ‘Wick’ แสดงถึงระดับราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจง ในขณะที่ ‘body’ แสดงถึงราคาเปิดและปิดเมื่อ ‘wick’ ยาวมากเมื่อเทียบกับ ‘body’ แสดงถึงการปฏิเสธของราคาในช่วงเวลานั้น Hammer คือ รูปแบบแท่งเทียนที่มี ‘body’ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
กราฟแท่งเทียน คืออะไร กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) เป็นวิธีการสรุปและแสดงข้อมูลราคาของหลักทรัพย์ หรือสินทรัพย์ทางการเงินในรูปแบบที่ช่วยให้ผู้นำข้อมูลไปใช้สามารถเข้าใจแนวโน้มราคาได้ดีขึ้น กราฟแท่งเทียนมีประวัติความเป็นมานานหลายศตวรรษ มาจากประเทศญี่ปุ่น กราฟแท่งเทียนประกอบด้วยสี่ส่วนหลัก ซึ่งมีชื่อเรียกเป็น “เปิด” (Open) “สูง” (High) “ต่ำ” (Low) และ “ปิด” (Close) ถ้าราคาปิดอยู่สูงกว่าราคาเปิด แท่งเทียนจะเป็นสีเขียวหรือขาว และถ้าราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด แท่งเทียนจะเป็นสีแดงหรือดำ แท่งเทียนช่วยให้นักลงทุนเห็นแนวโน้มราคาสินทรัพย์ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจในการซื้อหรือขาย ในทำนองเดียวกัน มันสามารถใช้เพื่อระบุรูปแบบทางเทคนิคในการซื้อขาย เช่น เทรนด์ การกลับตัว และอื่น ๆ ที่สามารถช่วยในการพยากรณ์ความเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต องค์ประกอบของกราฟแท่งเทียน กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) มีสี่ค่าหลักที่ใช้ในการสร้างแต่ละ “แท่งเทียน” ซึ่งประกอบด้วย “เปิด” (Open), “ปิด” (Close), “สูงสุด” (High) และ “ต่ำสุด” (Low) เปิด (Open): ราคาที่สินทรัพย์เริ่มต้นการซื้อขายในระยะเวลาที่กำหนด (เช่น วัน, [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
- 1
- 2