Forex คือ อะไร ทำความรู้จักกับตลาด forex

IUX Markets Bonus

Forex หรือ Foreign Exchange Market เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆ ทั่วโลก บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดทุกแง่มุมของ Forex ตั้งแต่ความหมาย ประวัติ กลไกการทำงาน ไปจนถึงวิธีการเทรดและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง

Contents

Forex คืออะไร

Forex ย่อมาจาก Foreign Exchange Market หมายถึงตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นตลาดการเงินที่ไม่มีศูนย์กลาง (Decentralized) และมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์

ความสำคัญของ Forex:

  1. เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก
  2. มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินต่างๆ
  3. เอื้ออำนวยต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
  4. เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
  5. เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน

ประวัติและพัฒนาการของตลาด Forex

การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ตลาด Forex สมัยใหม่เริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 โดยมีพัฒนาการสำคัญดังนี้:

  1. ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2: ใช้ระบบมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ในการกำหนดค่าเงิน
  2. 1944: การลงนามในข้อตกลง Bretton Woods กำหนดให้สกุลเงินต่างๆ ผูกติดกับดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์สหรัฐผูกติดกับทองคำ
  3. 1971: ประธานาธิบดี Richard Nixon ยกเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์กับทองคำ เป็นจุดเริ่มต้นของระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว
  4. 1973: เริ่มมีการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวอย่างเต็มรูปแบบ และ Reuters นำเสนอจอมอนิเตอร์สำหรับแสดงข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยน
  5. 1990s: การพัฒนาของอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีการสื่อสารทำให้การเทรด Forex เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับนักลงทุนรายย่อย
  6. 2000s-ปัจจุบัน: การเติบโตอย่างรวดเร็วของการเทรด Forex ออนไลน์ และการพัฒนาของแพลตฟอร์มการเทรดที่ทันสมัย

ขนาดและปริมาณการซื้อขายในตลาด Forex

ตลาด Forex เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 7.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 ตามรายงานของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements) [1]

ปริมาณซื้อขายตลาด Forex เปรียบเทียบกับตลาดหุ้นไทยและอื่น ๆ
ปริมาณซื้อขายตลาด Forex เปรียบเทียบกับตลาดหุ้นไทยและอื่น ๆ

เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดการเงินอื่นๆ:

  • ตลาดหุ้นทั่วโลก: มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยประมาณ 200-300 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน (น้อยกว่า Forex ประมาณ 25-30 เท่า)
  • ตลาดพันธบัตร: มูลค่าการซื้อขายประมาณ 700-800 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน (น้อยกว่า Forex ประมาณ 10 เท่า)
  • ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์: มูลค่าการซื้อขายรวมกันประมาณ 100-150 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน (น้อยกว่า Forex มากกว่า 50 เท่า)
HFM Market Promotion

การแบ่งสัดส่วนของปริมาณการซื้อขายใน Forex:

  • Spot transactions: 2.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน
  • Outright forwards: 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน
  • Foreign exchange swaps: 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน
  • Currency swaps: 124 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน
  • Options และผลิตภัณฑ์อื่นๆ: 304 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน

เวลาทำการและเวลาซื้อขายของตลาด Forex

ตลาด Forex เป็นตลาดที่เปิดทำการ 24 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ โดยเริ่มตั้งแต่วันจันทร์เวลา 5:00 น. ตามเวลาเขตตะวันออก (EST) ไปจนถึงวันศุกร์เวลา 17:00 น. EST การที่ตลาดเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมงเป็นเพราะมีศูนย์กลางการเงินหลายแห่งทั่วโลกที่เปิดและปิดในเวลาที่แตกต่างกัน

ตลาด Forex แบ่งออกเป็น 4 เซสชันหลัก:

  1. เซสชันซิดนีย์ (ออสเตรเลีย): เปิด 17:00 – 02:00 EST
  2. เซสชันโตเกียว (เอเชีย): เปิด 19:00 – 04:00 EST
  3. เซสชันลอนดอน (ยุโรป): เปิด 03:00 – 12:00 EST
  4. เซสชันนิวยอร์ก (อเมริกาเหนือ): เปิด 08:00 – 17:00 EST

ช่วงเวลาที่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุดมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีการทับซ้อนกันของเซสชัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่เซสชันลอนดอนและนิวยอร์กทับซ้อนกัน (08:00 – 12:00 EST) ซึ่งมักจะมีปริมาณการซื้อขายและความผันผวนสูงที่สุด

นักเทรดควรพิจารณาเวลาทำการของตลาดและเซสชันต่างๆ เมื่อวางแผนกลยุทธ์การเทรด เนื่องจากแต่ละเซสชันอาจมีลักษณะการเคลื่อนไหวของราคาและสภาพคล่องที่แตกต่างกัน

เวลาเปิดปิดตลาด Forex เทียบเวลาไทย

ตลาด Forex จะเป็นตลาดที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง เนี่องจาก ตลาด Forex เป็นตลาดที่เทรด Over the Counter หรือ OTC Market หรือก็คือ ลูกค้าสามารถส่งคำสั่งเองได้ โดยไม่ผ่าน Marketing ซึ่งแตกต่างจากตลาดหุ้นไทย

ทำไมตลาด Forex ถึงเปิดได้ตลอด 24 ชั่วโมง นั่นก็เพราะว่าแต่ละประเทศมีเวลาทำการไม่เหมือนกัน ดังนั้น เมื่อตลาดหนึ่งเปิด ตลาดอีกตลาดจะปิด และตลาดหนึ่งปิด อีกตลาดก็จะเปิดขึ้นมารับช่วงต่อกัน ทำให้ตลาด Forex เป็นตลาดที่ไม่มีวันหลับไหล

นี่คือตารางเวลาเปิดปิดตลาด Forex ตามเวลาประเทศไทย GMT+7 ดังต่อไปนี้

ตลาด
เวลาเปิด
เวลาปิด
ตลาดออสเตรเลีย
5.00 น.
13.00 น.
ตลาดญี่ปุ่น
6.00 น.
14.00 น.
ตลาดยุโรป
14.00 น.
23.00 น.
ตลาดลอนดอน
15.00 น.
24.00 น.
ตลาดอเมริกา
20.00 น.
5.00 น.

กลไกการทำงานของตลาด Forex

ตลาด Forex เป็นตลาดแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) ที่ไม่มีศูนย์กลางการซื้อขายเหมือนตลาดหุ้น การซื้อขายเกิดขึ้นผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างธนาคาร สถาบันการเงิน และนักลงทุนทั่วโลก กลไกการทำงานของตลาด Forex มีดังนี้:

  1. การกำหนดราคา (Price Quotation):
    • ราคาในตลาด Forex แสดงเป็นคู่สกุลเงิน เช่น EUR/USD
    • ราคามีสองส่วน: ราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Ask)
    • ความแตกต่างระหว่าง Bid และ Ask เรียกว่า Spread
  2. การจับคู่คำสั่งซื้อขาย (Order Matching):
    • เมื่อราคา Bid และ Ask ตรงกัน ระบบจะจับคู่คำสั่งซื้อและขายโดยอัตโนมัติ
    • ในตลาดระหว่างธนาคาร (Interbank Market) การจับคู่อาจเกิดขึ้นโดยตรงระหว่างคู่ค้า
  3. สภาพคล่อง (Liquidity):
    • ธนาคารขนาดใหญ่และ Market Makers เป็นผู้ให้สภาพคล่องหลักในตลาด
    • สภาพคล่องสูงทำให้สามารถดำเนินการซื้อขายได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  4. การชำระราคาและส่งมอบ (Settlement):
    • การชำระราคาส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายใน T+2 (2 วันทำการหลังจากวันที่ทำการซื้อขาย)
    • สำหรับ Spot Forex ไม่มีการส่งมอบสกุลเงินจริง แต่จะทำการชำระส่วนต่างเป็นเงิน
  5. เลเวอเรจและมาร์จิน (Leverage and Margin):
    • ผู้เทรดสามารถใช้เลเวอเรจเพื่อควบคุมสถานะขนาดใหญ่ด้วยเงินลงทุนน้อย
    • มาร์จินคือเงินประกันที่ต้องวางไว้เพื่อเปิดและรักษาสถานะการเทรด
  6. การป้องกันความเสี่ยง (Hedging):
    • ผู้เทรดสามารถใช้กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงโดยการเปิดสถานะตรงข้ามเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
  7. การรายงานและความโปร่งใส (Reporting and Transparency):
    • ธนาคารกลางและสถาบันการเงินขนาดใหญ่มีหน้าที่รายงานปริมาณการซื้อขายและสถานะการถือครองเงินตราต่างประเทศ
    • ข้อมูลนี้ช่วยให้ผู้กำกับดูแลสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดและป้องกันการปั่นป่วนตลาด
  8. การกำกับดูแล (Regulation):
    • แม้ว่าตลาด Forex จะไม่มีศูนย์กลาง แต่ผู้ให้บริการเทรด Forex ในแต่ละประเทศจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานท้องถิ่น
    • หน่วยงานกำกับดูแลมีหน้าที่ในการป้องกันการฉ้อโกงและสร้างความเป็นธรรมในตลาด
  9. เทคโนโลยีและการเทรดอัตโนมัติ (Technology and Automated Trading):
    • ระบบการเทรดอิเล็กทรอนิกส์และอัลกอริธึมการเทรดมีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาและจับคู่คำสั่งซื้อขาย
    • High-Frequency Trading (HFT) เป็นส่วนสำคัญของปริมาณการซื้อขายในตลาด Forex

กลไกการทำงานของตลาด Forex ที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพนี้ทำให้ตลาดสามารถรองรับปริมาณการซื้อขายมหาศาลได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรเข้าใจกลไกเหล่านี้เพื่อสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการลงทุน

คู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุด

สัดส่วนการซื้อขายค่าเงินในตลาด forex
สัดส่วนการซื้อขายค่าเงินในตลาด forex

ในตลาด Forex มีคู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดดังนี้:

  1. EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ): 22.7% ของการซื้อขายทั้งหมด
  2. USD/JPY (ดอลลาร์สหรัฐ/เยนญี่ปุ่น): 13.5%
  3. GBP/USD (ปอนด์สเตอร์ลิง/ดอลลาร์สหรัฐ): 9.5%
  4. AUD/USD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ดอลลาร์สหรัฐ)
  5. USD/CAD (ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์แคนาดา)
  6. USD/CHF (ดอลลาร์สหรัฐ/ฟรังก์สวิส)
  7. NZD/USD (ดอลลาร์นิวซีแลนด์/ดอลลาร์สหรัฐ)

โดยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมีส่วนแบ่งในการซื้อขายสูงถึง 88.5% ของธุรกรรมทั้งหมด ตามด้วยยูโร (30.5%), เยนญี่ปุ่น (16.7%), และปอนด์สเตอร์ลิง (12.9%)

 

ผู้เล่นหลักในตลาด Forex

  1. ธนาคารพาณิชย์: เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาด Forex โดยธนาคารชั้นนำ เช่น JP Morgan, UBS, และ Deutsche Bank มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด
  2. ธนาคารกลาง: มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน
  3. บริษัทข้ามชาติ: ใช้ตลาด Forex เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
  4. นักเก็งกำไรและนักลงทุนสถาบัน: รวมถึงกองทุนเฮดจ์ฟันด์ กองทุนรวม และนักลงทุนรายใหญ่
  5. นักลงทุนรายย่อย: แม้จะมีสัดส่วนน้อยกว่าผู้เล่นรายใหญ่ แต่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
  6. โบรกเกอร์ Forex: ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างนักลงทุนรายย่อยกับตลาด

1 Forex คือ อะไร

ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนในตลาด Forex

  1. นโยบายการเงิน: การตัดสินใจของธนาคารกลางเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงินมีผลอย่างมากต่อค่าเงิน โดยทั่วไป อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมักทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
  2. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ:
    • GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ)
    • อัตราเงินเฟ้อ
    • อัตราการว่างงาน
    • ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด
    • หนี้สาธารณะ
  3. สถานการณ์ทางการเมือง: ความไม่แน่นอนทางการเมือง การเลือกตั้ง หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศสามารถส่งผลต่อความเชื่อมั่นในค่าเงินของประเทศนั้นๆ
  4. ภาวะตลาดโลก: เหตุการณ์สำคัญระดับโลก เช่น วิกฤตการเงิน ภัยพิบัติ หรือการระบาดของโรค สามารถส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนได้
  5. ความเชื่อมั่นของนักลงทุน: ปัจจัยทางจิตวิทยาตลาดมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนในระยะสั้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง
  6. การเก็งกำไรและการลงทุน: กิจกรรมการซื้อขายของนักเก็งกำไรและนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่สามารถส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนได้
  7. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์: สำหรับประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน ทองคำ หรือสินค้าเกษตร ราคาของสินค้าเหล่านี้มีผลต่อค่าเงินของประเทศ

เครื่องมือและเทคโนโลยีในการเทรด Forex

2 Forex MT4
ภาพตัวอย่างแสดงการซื้อขายในโปรแกรม Forex MT4
  1. MetaTrader 4 (MT4): เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับนักลงทุนรายย่อย โดย 85% ของการซื้อขาย CFD รายย่อยทั้งหมดใช้ MT4
  2. MetaTrader 5 (MT5): เป็นรุ่นต่อมาของ MT4 ที่มีฟังก์ชันการทำงานเพิ่มเติม เช่น Depth of Market และการเทรดหลายสินทรัพย์
  3. cTrader: เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมรองลงมา มีฟังก์ชันการทำงานละเอียดและรองรับการเทรดแบบ ECN
  4. Mobile Trading Apps: แอปพลิเคชันสำหรับการเทรดบนมือถือได้รับความนิยมมากขึ้น โดย 35% ของนักเทรดใช้มือถือในการค้นหาข้อมูลและทำการเทรด
  5. Artificial Intelligence และ Machine Learning: 65% ของนักเทรดเชื่อว่า AI และ ML มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการเทรด โดยใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การคาดการณ์แนวโน้มตลาด และการทำ Algorithmic Trading
  6. Expert Advisors (EAs): โปรแกรมอัตโนมัติที่สามารถทำการเทรดตามกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
  7. Trading Central และ Autochartist: เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ให้สัญญาณการเทรดและการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด
  8. VPS (Virtual Private Server): บริการเซิร์ฟเวอร์เสมือนที่ช่วยให้นักเทรดสามารถรันโปรแกรมเทรดอัตโนมัติได้ตลอด 24 ชั่วโมง

กลยุทธ์การเทรด Forex ที่นิยม

  1. Scalping: การทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาเล็กน้อยในระยะเวลาสั้นๆ มักจะเปิดและปิดการเทรดภายในไม่กี่นาทีหรือวินาที
  2. Day Trading: การเปิดและปิดสถานะภายในวันเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการถือสถานะข้ามคืน
  3. Swing Trading: การถือสถานะเป็นเวลาหลายวันหรือสัปดาห์เพื่อทำกำไรจากแนวโน้มระยะกลาง เหมาะสำหรับนักเทรดที่ไม่สามารถติดตามตลาดตลอดเวลา
  4. Position Trading: การถือสถานะเป็นเวลานานเพื่อทำกำไรจากแนวโน้มระยะยาว อาจถือสถานะเป็นเดือนหรือปี
  5. Carry Trade: การยืมสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อลงทุนในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า ทำกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย
  6. News Trading: การเทรดโดยอาศัยการประกาศข่าวสำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น ตัวเลขการจ้างงาน หรือการประกาศนโยบายของธนาคารกลาง
  7. Grid Trading: การวางคำสั่งซื้อและขายในหลายระดับราคาพร้อมกัน เพื่อทำกำไรจากความผันผวนของตลาด
  8. Hedging: การใช้สถานะหนึ่งเพื่อป้องกันความเสี่ยงของอีกสถานะหนึ่ง มักใช้โดยบริษัทที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

ความเสี่ยงและการจัดการความเสี่ยงในการเทรด Forex

การเทรด Forex มาพร้อมกับความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงต่างๆ และมีกลยุทธ์ในการจัดการความเสี่ยง:

ความเสี่ยงหลักในการเทรด Forex:

  1. ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์
  2. ความเสี่ยงจากเลเวอเรจ: การใช้เลเวอเรจสูงสามารถขยายทั้งกำไรและขาดทุน
  3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: ในบางสถานการณ์ อาจเกิดปัญหาในการเข้าหรือออกจากตำแหน่งการเทรด
  4. ความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด: ความผันผวนสูงสามารถทำให้เกิดการขาดทุนอย่างรวดเร็ว
  5. ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี: ปัญหาทางเทคนิคหรือการขัดข้องของระบบสามารถส่งผลต่อการเทรด
  6. ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติการ: ความผิดพลาดในการดำเนินการ เช่น การส่งคำสั่งผิด
  7. ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบสามารถส่งผลต่อการเทรด

การจัดการความเสี่ยง:

  1. การใช้ Stop Loss: กำหนดจุด Stop Loss เพื่อจำกัดการขาดทุนสูงสุดที่ยอมรับได้
  2. การกระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนทั้งหมดในคู่สกุลเงินเดียวหรือกลยุทธ์เดียว
  3. การจำกัดการใช้เลเวอเรจ: ใช้เลเวอเรจอย่างระมัดระวังและเหมาะสมกับประสบการณ์และความเสี่ยงที่ยอมรับได้
  4. การทดสอบกลยุทธ์: ใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อทดสอบกลยุทธ์ก่อนใช้เงินจริง
  5. การศึกษาอย่างต่อเนื่อง: ติดตามข่าวสารและพัฒนาความรู้เกี่ยวกับตลาด Forex อยู่เสมอ
  6. การใช้เครื่องมือจัดการความเสี่ยง: เช่น Trailing Stop, Guaranteed Stop Loss, และ Take Profit
  7. การจัดการเงินทุน: ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดในการเทรดแต่ละครั้ง

การควบคุมและกฎระเบียบในตลาด Forex

ตลาด Forex เป็นตลาดที่มีการกระจายตัวสูงและไม่มีศูนย์กลาง ทำให้การควบคุมและกำกับดูแลทำได้ยากกว่าตลาดการเงินอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ในแต่ละประเทศจะมีหน่วยงานกำกับดูแลที่ทำหน้าที่ควบคุมโบรกเกอร์และบริษัทที่ให้บริการเทรด Forex:

Financial Conduct Authority (FCA)
Financial Conduct Authority (FCA) หน่วยงานกำกับตลาดของอังกฤษ
  1. สหรัฐอเมริกา:
    • Commodity Futures Trading Commission (CFTC)
    • National Futures Association (NFA)
  2. สหราชอาณาจักร:
    • Financial Conduct Authority (FCA)
  3. สหภาพยุโรป:
    • European Securities and Markets Authority (ESMA)
  4. ญี่ปุ่น:
    • Financial Services Agency (FSA)
  5. ออสเตรเลีย:
    • Australian Securities and Investments Commission (ASIC)
  6. สิงคโปร์:
  7. ฮ่องกง:
    • Securities and Futures Commission (SFC)

นักลงทุนควรเลือกใช้บริการโบรกเกอร์ที่ได้รับการควบคุมจากหน่วยงานกำกับดูแลที่น่าเชื่อถือเพื่อลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกงหรือการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ ยังควรตรวจสอบว่าโบรกเกอร์มีนโยบายการป้องกันเงินทุนของลูกค้า เช่น การแยกบัญชีลูกค้าออกจากบัญชีของบริษัท

การเลือกโบรกเกอร์ Forex

การเลือกโบรกเกอร์ Forex ที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญในการเทรดให้ประสบความสำเร็จ ต่อไปนี้คือปัจจัยที่ควรพิจารณา:

5 โบรกเกอร์ Forex ในไทย
5 โบรกเกอร์ Forex ในไทย
  1. การกำกับดูแล: เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการควบคุมโดยหน่วยงานกำกับดูแลที่น่าเชื่อถือ
  2. ความปลอดภัยของเงินทุน: ตรวจสอบนโยบายการป้องกันเงินทุนของลูกค้า
  3. แพลตฟอร์มการเทรด: พิจารณาความเสถียรและฟีเจอร์ของแพลตฟอร์มที่โบรกเกอร์ให้บริการ
  4. ค่าธรรมเนียมและสเปรด: เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมและสเปรดระหว่างโบรกเกอร์ต่างๆ
  5. สินทรัพย์ที่ให้บริการ: ตรวจสอบว่ามีคู่สกุลเงินและสินทรัพย์อื่นๆ ที่คุณสนใจเทรดหรือไม่
  6. การฝากและถอนเงิน: พิจารณาความสะดวกและค่าธรรมเนียมในการฝากและถอนเงิน
  7. บริการลูกค้า: ตรวจสอบคุณภาพของบริการลูกค้าและช่องทางการติดต่อ
  8. การศึกษาและทรัพยากร: พิจารณาบทความ วิดีโอ และเครื่องมือการเรียนรู้ที่โบรกเกอร์ให้บริการ
  9. ความเร็วในการดำเนินการ: ตรวจสอบความเร็วในการส่งคำสั่งและการดำเนินการ
  10. นโยบาย Slippage และ Requotes: ศึกษานโยบายเกี่ยวกับ Slippage และ Requotes ของโบรกเกอร์

แนวโน้มและการพัฒนาในตลาด Forex

ตลาด Forex มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ต่อไปนี้คือแนวโน้มสำคัญที่กำลังเกิดขึ้น:

  1. การเติบโตของ Retail Forex Trading: การซื้อขาย Forex รายย่อยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2010 มีสัดส่วนประมาณ 10% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมด และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  2. การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง: มีการนำ AI และ Machine Learning มาใช้ในการวิเคราะห์และการเทรดมากขึ้น โดยเฉพาะในการพัฒนาระบบเทรดอัตโนมัติและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่
  3. การเติบโตของ Social Trading: แพลตฟอร์มที่อนุญาตให้นักลงทุนคัดลอกกลยุทธ์การเทรดของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้รับความนิยมมากขึ้น เช่น eToro และ ZuluTrade
  4. การเพิ่มขึ้นของสกุลเงินดิจิทัล: แม้ว่าจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตลาด Forex แบบดั้งเดิม แต่สกุลเงินดิจิทัลกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นจากนักเทรด Forex และหลายโบรกเกอร์เริ่มเสนอการเทรด CFD ของสกุลเงินดิจิทัล
  5. การเน้นความสำคัญของการศึกษา: โบรกเกอร์และแพลตฟอร์มการเทรดให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่นักลงทุนมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสความสำเร็จ
  6. การพัฒนาของ Mobile Trading: การเทรดผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้นักเทรดสามารถติดตามและจัดการพอร์ตการลงทุนได้ทุกที่ทุกเวลา
  7. การเพิ่มขึ้นของ Algorithmic Trading: การใช้อัลกอริธึมและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการเทรดอัตโนมัติกำลังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสถาบัน
  8. การปรับปรุงกฎระเบียบ: หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกกำลังพัฒนากฎระเบียบใหม่ๆ เพื่อปกป้องนักลงทุนรายย่อยและเพิ่มความโปร่งใสในตลาด

ข้อดีและข้อเสียของการเทรด Forex

ข้อดี:

  1. สภาพคล่องสูง: ทำให้สามารถเข้าและออกจากตลาดได้ง่าย
  2. เปิดทำการ 24 ชั่วโมง: ให้ความยืดหยุ่นในการเทรดตามเวลาที่สะดวก
  3. ต้นทุนการทำธุรกรรมต่ำ: ค่าธรรมเนียมและสเปรดมักจะต่ำกว่าตลาดอื่นๆ
  4. โอกาสทำกำไรสองทาง: สามารถทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง
  5. การใช้เลเวอเรจ: สามารถควบคุมสถานะขนาดใหญ่ด้วยเงินลงทุนน้อย
  6. ความหลากหลายของคู่สกุลเงิน: มีโอกาสในการเทรดมากมาย
  7. เครื่องมือและทรัพยากรการเรียนรู้: มีเครื่องมือวิเคราะห์และแหล่งเรียนรู้มากมาย

ข้อเสีย:

  1. ความเสี่ยงสูง: โดยเฉพาะเมื่อใช้เลเวอเรจสูง
  2. ความผันผวนสูง: อาจทำให้เกิดการขาดทุนอย่างรวดเร็ว
  3. ความซับซ้อน: ต้องใช้ความรู้และทักษะในการวิเคราะห์ปัจจัยหลายอย่าง
  4. ความเสี่ยงจากข่าวสาร: เหตุการณ์ไม่คาดคิดสามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาด
  5. ความเสี่ยงด้านจิตวิทยา: อารมณ์และความเครียดสามารถส่งผลต่อการตัดสินใจ
  6. การขาดทุนเกินบัญชี: ในบางกรณี อาจเกิดการขาดทุนเกินกว่าเงินในบัญชี
  7. ความเสี่ยงจากโบรกเกอร์: การเลือกโบรกเกอร์ที่ไม่น่าเชื่อถืออาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ

สรุป

Forex เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่และมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ แม้จะมีโอกาสทำกำไรสูง แต่การลงทุนใน Forex ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน

ผู้ที่สนใจลงทุนใน Forex ควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ ฝึกฝนทักษะการวิเคราะห์ตลาด และเริ่มต้นด้วยการใช้บัญชีทดลองก่อนเริ่มลงทุนจริง นอกจากนี้ การจัดการความเสี่ยงที่ดีและการมีวินัยในการเทรดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความสำเร็จในระยะยาวในตลาด Forex

ในท้ายที่สุด การเทรด Forex ไม่ใช่วิธีการสร้างรายได้ที่รวดเร็วหรือง่ายดาย แต่เป็นทักษะที่ต้องอาศัยการเรียนรู้ การฝึกฝน และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการเทรด Forex มักจะเป็นผู้ที่มีความอดทน มีวินัย และสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีในสถานการณ์ที่มีความกดดันสูง

อ้างอิง

[1] Bank for International Settlements. (2022). Triennial Central Bank Survey of foreign exchange and OTC derivatives markets in 2022. Retrieved from https://www.bis.org/statistics/rpfx22.htm

[2] Wikipedia. (2024). Foreign exchange market. Retrieved from https://en.wikipedia.org/wiki/Foreign_exchange_market

FOREXDUCK Logo

FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง

HFM Promotion