Long และ Short Position ในโลกของการเทรด Forex การเข้าใจแนวคิดของ Long Position และ Short Position เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดทุกระดับ ทั้งสองแนวคิดนี้เป็นพื้นฐานของการซื้อขายในตลาดการเงิน และการเข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสองจะช่วยให้นักเทรดสามารถวางกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บทความนี้จะอธิบายความหมาย ความแตกต่าง และการใช้งานของ Long และ Short Position ในบริบทของการเทรด Forex Long Position คืออะไร? Long Position หรือการ “ไปลอง” ในภาษาไทย หมายถึงการซื้อสกุลเงินหลัก (Base Currency) ของคู่สกุลเงินที่เทรด โดยคาดหวังว่าราคาของสกุลเงินนั้นจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินรอง (Quote Currency) ลักษณะสำคัญของ Long Position: การซื้อ: นักเทรดเริ่มต้นด้วยการซื้อสกุลเงินหลัก คาดหวังราคาขึ้น: นักเทรดคาดว่าราคาของสกุลเงินหลักจะเพิ่มขึ้นเทียบกับสกุลเงินรอง กำไร: เกิดขึ้นเมื่อราคาของคู่สกุลเงินเพิ่มขึ้น ขาดทุน: เกิดขึ้นเมื่อราคาของคู่สกุลเงินลดลง ตัวอย่าง Long Position: สมมติว่านักเทรดเปิด Long [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
ในโลกของการเทรด Forex การเข้าใจเรื่อง “Lot” เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “Standard Lot” ซึ่งถือเป็นหน่วยมาตรฐานในการซื้อขายสกุลเงินในตลาด Forex บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับ Standard Lot ความสำคัญ วิธีการคำนวณ และการตั้งค่าในการเทรด เพื่อให้คุณสามารถใช้ความรู้นี้ในการวางแผนและดำเนินการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ Standard Lot คืออะไร? Standard Lot เป็นหน่วยมาตรฐานในการซื้อขายสกุลเงินในตลาด Forex โดย 1 Standard Lot มีค่าเท่ากับ 100,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก (Base Currency) ในคู่สกุลเงินที่เทรด ตัวอย่างเช่น ในคู่สกุลเงิน EUR/USD หนึ่ง Standard Lot จะเท่ากับ 100,000 EUR การใช้ Standard Lot เป็นมาตรฐานในการเทรดมีเหตุผลหลายประการ: ความสะดวกในการคำนวณ: การใช้หน่วยมาตรฐานช่วยให้การคำนวณกำไร ขาดทุน และความเสี่ยงทำได้ง่ายขึ้น การเปรียบเทียบระหว่างคู่สกุลเงิน: Standard Lot ช่วยให้นักเทรดสามารถเปรียบเทียบขนาดการเทรดระหว่างคู่สกุลเงินต่างๆ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Lot คือ อะไร Lot คือ หน่วย ในขนาดสัญญาการเทรด แสดงปริมาณการซื้อขายในตลาด Forex โดยผลิตภัณฑ์ที่ใช้หน่วยการเทรดเป็น Lot นอกจากสกุลเงินแล้ว ยังสามารถใช้หน่วย Lot กับผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในตราสาร CFD คือ สัญญาส่วนต่าง เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้น โลหะมีค่า สกุลเงินดิจิตอล เป็นต้น มูลค่าของ Lot ในแต่ละผลิตภัณฑ์จะมีค่าแตกต่างกัน โดยใช้หน่วยนับเป็น Lot เพื่อให้สะดวกในการใช้งาน ซึ่ง Lot ในตลาด Forex มากขึ้น แตกต่างจากตลาดหุ้น และตลาดทองคำ ในตลาดทองคำ การเทรดทองคำ 100 oz คือ การเทรดทองคำ 1 Standard Lot ส่วนการเทรดสกุลเงิน 100,000 หน่วย คือ การเทรดสกุลเงิน 1 Standard Lot ประเภทของ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
ตลาด Forex หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สามารถย้อนกลับไปได้หลายศตวรรษ แม้ว่าตลาด Forex สมัยใหม่จะเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 แต่จุดเริ่มต้นของการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ จุดกำเนิดของตลาด Forex ที่เป็นทางการนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ 500 ปีที่แล้วในเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ [1] ในยุคนั้น อัมสเตอร์ดัมเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของยุโรป และเป็นที่ตั้งของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราแห่งแรกของโลก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ช่วงที่นับว่าเป็นยุคใหม่ของตลาด FOREX ก็คือปี 1973 เมื่อสหรัฐอเมริกายกเลิกระบบ Bretton Woods ที่ให้แต่ละประเทศตรึงอัตราแลกเปลี่ยนไว้กับดอลลาร์สหรัฐ [1] เหตุการณ์นี้นำไปสู่การเกิดขึ้นของระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว และเป็นจุดเริ่มต้นของตลาด Forex สมัยใหม่ที่เราเห็นในปัจจุบัน การพัฒนาของตลาด Forex สามารถแบ่งออกเป็นสามยุคสำคัญ ยุคมาตรฐานทองคำ ยุคข้อตกลง Bretton Woods ยุคระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว แต่ละยุคมีลักษณะเฉพาะและความสำคัญต่อการพัฒนาของระบบการเงินโลกและตลาด Forex ดังนี้ 1.ยุคมาตรฐานทองคำ (ช่วงศตวรรษที่ 19 – ต้นศตวรรษที่ 20) ยุคมาตรฐานทองคำเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1819 [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Stop loss คืออะไร Stop Loss คือ เครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงสำหรับนักเทรด ช่วยจำกัดการขาดทุนและส่งเสริมวินัยในการเทรด การใช้งาน Stop Loss อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจในหลักการทำงาน การวางแผนที่ดี และการปรับใช้ให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของแต่ละคน นักเทรดควรพิจารณา Stop Loss เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเทรดโดยรวม ไม่ใช่เพียงเครื่องมือแยกส่วน การใช้ Stop Loss ร่วมกับการวิเคราะห์ตลาดที่ดี การจัดการเงินทุนที่เหมาะสม และการควบคุมอารมณ์ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการเทรดในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ต้องตระหนักว่า Stop Loss ไม่ได้รับประกันว่าจะป้องกันการขาดทุนได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในสถานการณ์ตลาดที่ผิดปกติหรือมีความผันผวนสูง นักเทรดจึงควรใช้ Stop Loss เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุม ซึ่งรวมถึงการกระจายความเสี่ยง การจัดการขนาดการเทรด และการติดตามสภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด ความหมายของ Stop Loss Stop Loss หรือที่เรียกว่าคำสั่ง Stop Loss เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงสำหรับนักเทรดในตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด Forex คำสั่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการเทรด โดยการปิดสถานะการซื้อขายโดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ในทางปฏิบัติ Stop Loss [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Forex หรือ Foreign Exchange Market เป็นตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 6.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ การเทรด Forex ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนทั้งมือใหม่และมืออาชีพ เนื่องจากมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่น่าสนใจ บทความนี้จะวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียของการเทรด Forex อย่างละเอียด เพื่อให้ผู้อ่านสามารถตัดสินใจได้ว่าการเทรด Forex เหมาะสมกับตนเองหรือไม่ ข้อดีของการเทรด Forex 1. สภาพคล่องสูง ตลาด Forex มีสภาพคล่องสูงที่สุดในบรรดาตลาดการเงินทั้งหมด ด้วยปริมาณการซื้อขายมหาศาลทำให้นักลงทุนสามารถเข้าและออกจากตลาดได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคามากนัก ข้อดีนี้ทำให้: สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยได้ ลดความเสี่ยงจากการติดอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ต้องการ เหมาะสำหรับการใช้กลยุทธ์การเทรดระยะสั้น เช่น สแกลปปิ้ง หรือเดย์เทรดดิ้ง 2. เปิดทำการ 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ตลาด Forex เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ถึงเย็นวันศุกร์ (ตามเวลาสากล) ข้อดีนี้ทำให้: นักลงทุนสามารถเทรดได้ตามเวลาที่สะดวก สามารถตอบสนองต่อข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญได้ทันที เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาชีพประจำและต้องการเทรดนอกเวลาทำงาน 3. [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Forex หรือ Foreign Exchange Market เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณการซื้อขายมากกว่า 6.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน[1] ตลาดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนและนักเก็งกำไรทั่วโลก ด้วยเหตุผลหลายประการ ลองมาดูเหตุผลสำคัญกันอย่างละเอียด: โอกาสในการทำกำไร Forex เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้หลายวิธี: การเก็งกำไรจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน นักเทรดสามารถซื้อสกุลเงินที่คาดว่าจะแข็งค่าขึ้น และขายสกุลเงินที่คาดว่าจะอ่อนค่าลง[2] ตัวอย่างเช่น: หากนักเทรดคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาอาจซื้อดอลลาร์สหรัฐเทียบกับยูโร (Long EUR/USD) ในทางกลับกัน หากมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรปจะลดอัตราดอกเบี้ย นักเทรดอาจขายยูโรเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (Short EUR/USD) การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างกำไรได้มาก โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ Leverage การใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนสามารถทำกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงิน ผ่านกลยุทธ์ที่เรียกว่า Carry Trade[4] วิธีนี้ทำได้โดย: กู้ยืมเงินในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ นำเงินที่กู้ยืมมาไปลงทุนในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า ทำกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย ตัวอย่างเช่น ในอดีตนักลงทุนมักกู้ยืมเงินเยนญี่ปุ่น (อัตราดอกเบี้ยต่ำ) เพื่อนำไปลงทุนในดอลลาร์ออสเตรเลีย (อัตราดอกเบี้ยสูงกว่า) การใช้ Leverage Forex อนุญาตให้ใช้ Leverage สูง ซึ่งหมายความว่านักเทรดสามารถควบคุมเงินทุนจำนวนมากด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียงเล็กน้อย ทำให้มีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น[3] ตัวอย่างเช่น: [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือ Forex (Foreign Exchange) เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณการซื้อขายมหาศาลที่เกิดขึ้นทุกวัน ในบทความนี้ เราจะวิเคราะห์ขนาดของตลาด Forex และเปรียบเทียบกับตลาดการเงินสำคัญอื่นๆ ทั่วโลก ขนาดของตลาด Forex ตามรายงานการสำรวจธนาคารกลางประจำสามปีล่าสุดของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ในปี 2022: มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในตลาด Forex: 7.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 6.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 นี่เป็นตัวเลขที่น่าทึ่งและแสดงให้เห็นถึงสภาพคล่องมหาศาลของตลาด Forex การเปรียบเทียบกับตลาดอื่นๆ 1. ตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดหุ้นทั่วโลกมีมูลค่ารวมประมาณ 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ ปี 2023 อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายรายวันน้อยกว่าตลาด Forex มาก: มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในตลาดหุ้นทั่วโลก: ประมาณ 200-300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเพียง 2.7-4% ของปริมาณการซื้อขายใน Forex 2. ตลาดพันธบัตร ตลาดพันธบัตรทั่วโลกมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก Forex: มูลค่าตลาดรวม: ประมาณ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Foreign Exchange Market) ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Foreign Exchange Market) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า Forex, FX (อ่านว่า “ฟิกซ์”) หรือตลาดสกุลเงิน คือตลาดทั่วโลกแบบกระจายศูนย์ (decentralized) หรือแบบนอกตลาด (over-the-counter: OTC) สำหรับการซื้อขายสกุลเงิน ตลาดนี้เป็นตัวกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับทุกสกุลเงิน โดยครอบคลุมทุกแง่มุมของการซื้อ ขาย และแลกเปลี่ยนสกุลเงินในราคาปัจจุบันหรือราคาที่กำหนด ในแง่ของปริมาณการซื้อขาย ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก รองลงมาคือตลาดสินเชื่อ ผู้เล่นหลักในตลาดนี้คือธนาคารขนาดใหญ่ระหว่างประเทศ ศูนย์กลางทางการเงินทั่วโลกทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมโยงการซื้อขายระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายหลากหลายประเภทตลอด 24 ชั่วโมง ยกเว้นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เนื่องจากสกุลเงินมักซื้อขายเป็นคู่ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจึงไม่ได้กำหนดมูลค่าสัมบูรณ์ของสกุลเงิน แต่กำหนดมูลค่าสัมพัทธ์โดยตั้งราคาตลาดของสกุลเงินหนึ่งเมื่อจ่ายด้วยอีกสกุลเงินหนึ่ง เช่น 1 USD มีค่าเท่ากับ X CAD, CHF หรือ JPY เป็นต้น ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศดำเนินการผ่านสถาบันการเงินและทำงานในหลายระดับ เบื้องหลังการทำงาน ธนาคารจะติดต่อกับบริษัทการเงินจำนวนน้อยรายที่เรียกว่า “ดีลเลอร์” ซึ่งมีส่วนร่วมในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศในปริมาณมาก ดีลเลอร์ส่วนใหญ่เป็นธนาคาร ดังนั้นตลาดเบื้องหลังนี้จึงมักเรียกว่า “ตลาดระหว่างธนาคาร” (แม้ว่าจะมีบริษัทประกันและสถาบันการเงินประเภทอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย) [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
ความแตกต่างของ Forex กับตลาดการเงินอื่น ตลาดการเงินโลกประกอบด้วยตลาดหลายประเภท แต่ละตลาดมีลักษณะเฉพาะและบทบาทที่แตกต่างกันในระบบการเงิน ในบรรดาตลาดเหล่านี้ ตลาด Forex หรือ Foreign Exchange Market มีลักษณะที่โดดเด่นและแตกต่างจากตลาดอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะอธิบายถึงความแตกต่างระหว่าง Forex กับตลาดการเงินอื่นๆ โดยเฉพาะตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดพันธบัตร ขนาดและสภาพคล่อง ตลาด Forex เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 7.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 ตามรายงานของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements) ขนาดที่ใหญ่มหาศาลนี้ทำให้ตลาด Forex มีสภาพคล่องสูงมาก ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นทั่วโลกมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 200-300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งน้อยกว่าตลาด Forex ประมาณ 25-30 เท่า ส่วนตลาดพันธบัตรมีมูลค่าการซื้อขายประมาณ 700-800 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มีมูลค่าการซื้อขายรวมกันประมาณ 100-150 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน สภาพคล่องที่สูงมากของตลาด Forex ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าและออกจากตลาดได้ง่าย โดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคามากนัก [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]