แนวรับและแนวต้าน แนวรับ แนวต้าน เป็นคำศัพท์ที่มักเกิดขึ้นในวงการเทรดและการวิเคราะห์ทางเทคนิค การเข้าใจและทราบถึงแนวรับ แนวต้านเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเทรดทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ ความหมายของแนวรับ แนวต้าน หรือที่เรียกว่า Support/Resistance (SR), คือ ช่วงราคาที่ฟังก์ชันเป็นแนวป้องกันต้านกับการเคลื่อนที่ของราคา ไม่ว่าจะเป็นแนวที่ราคาจะยากที่จะข้ามไป (แนวต้าน) หรือแนวที่ราคาจะยากที่จะตกลงมา (แนวรับ) การสร้างแนวรับ แนวต้าน คือ เมื่อราคาของตราสารทางการเงินยังมาเรื่อย ๆ แต่แตะต้องระดับราคาเดิมหลายครั้งแล้วกลับเส้นทาง บริเวณนั้นก็สร้างเป็นแนวรับหรือแนวต้าน ทางลัดเปิดบัญชี iq option ภาพตัวอย่างการตีเส้นแนวต้าน ใน iQ Option ภาพตัวอย่างการตีเส้นแนวรับ ใน iQ Option ทางลัดเปิดบัญชี iq option แนวรับแนวต้าน iQ Option แนวทางแบบง่ายในการวิเคราะห์กราฟ เมื่อพูดถึงเส้นแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ คือ การมองเห็นจุดที่ราคาเกิดปฏิกิริยาอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถเคลื่อนที่ไปข้ามแนวนั้นได้ แนวต้าน (Resistance) ในกราฟจุดที่ราคาบรรลุแล้วเกิดปฏิกิริยาด้วยการลดลงหรือถอยหลัง เรียกว่า “แนวต้าน” มันเป็นความต้านทานต่อการขึ้นของราคา แนวรับ (Support) ในทางกลับกันจุดที่ราคาถึงแล้วมีการเกิดปฏิกิริยาด้วยการขึ้ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Breakaway คืออะไร “Breakaway” เป็นรูปแบบของแท่งเทียน (candlestick) ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของกราฟหุ้นหรือตลาดทั่วไป การเกิดขึ้นของ Breakaway pattern มักบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มตลาด (Trend Reversal) ในระยะยาว รูปแบบ Breakaway candlestick pattern Breakaway candlestick pattern ประกอบด้วย 5 แท่งเทียน โดยมีลักษณะดังนี้ แท่งแท่งเทียนที่ 1 แท่งแท่งเทียนแรก เป็นแท่งเทียนของแนวโน้มปัจจุบัน ถ้าเป็นแนวโน้มขาขึ้น แท่งเทียนนี้จะเป็นแท่งเทียนขาขึ้น แต่ถ้าเป็นแนวโน้มขาลง แท่งเทียนนี้จะเป็นแท่งเทียนขาลง แท่งแท่งเทียนที่ 2 แท่งแท่งเทียนที่ 2 จะเป็นแท่งเทียนที่มีช่วงราคาที่ไม่ซ้อนทับแท่งเทียนแรก นั่นหมายความว่า ถ้าแนวโน้มเป็นขาขึ้น แท่งเทียนที่สองจะเปิดที่ราคาที่สูงกว่าแท่งเทียนแรก และถ้าแนวโน้มเป็นขาลง แท่งเทียนที่สองจะเปิดที่ราคาที่ต่ำกว่าแท่งเทียนแรก แท่งแท่งเทียนที่ 3, แท่งแท่งเทียนที่ 4 และแท่งแท่งเทียนที่ 5 จะเป็นแท่งเทียนที่ยืนยันแนวโน้มใหม่ ซึ่งความยาวของแท่งเทียนไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดียวกัน แต่จะยืนยันการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม การที่ Breakaway pattern [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Sakainvest เชื่อถือได้หรือไม่ ในโลกออนไลน์ปัจจุบัน มีแหล่งข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการลงทุน ทำให้นักลงทุนต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ Sakainvest เป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่น่าสนใจ นำเสนอข้อมูลเชิงลึกหลากหลายประเภท แต่ก่อนจะตัดสินใจว่าจะเชื่อถือได้หรือไม่ เรามาพิจารณาคุณภาพของเนื้อหาและปัจจัยต่างๆกันดีกว่า ความหลากหลายของเนื้อหา Sakainvest ครอบคลุมข้อมูลการลงทุนในหลายตลาด ทั้ง คริปโต ฟอเร็กซ์ ทองคำ และหุ้น เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่ง ช่วยเพิ่มความรู้ในวงกว้างและเปรียบเทียบโอกาสในการลงทุนได้ รีวิวโบรกเกอร์แบบเจาะลึก มีรีวิวโบรกเกอร์อย่างละเอียด เจาะลึก และเที่ยงธรรม ไม่อวยโบรกเกอร์ ไม่มีสปอนเซอร์ ข้อมูลตรงไปตรงมา ช่วยนักลงทุนพิจารณาข้อดีข้อเสียของแต่ละโบรกเกอร์ก่อนตัดสินใจเลือก อ้างอิงจากประสบการณ์จริงและข้อมูลเชิงลึกของผู้เขียน ข้อมูลการใช้งานโบรกเกอร์ มีบทความสอนการใช้งานโบรกเกอร์ตั้งแต่เริ่มสมัครบัญชีจนถอนเงิน อธิบายวิธีฝากเงิน เทรด และจัดการบัญชีแบบขั้นตอนโดยละเอียด เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดข้อผิดพลาดและเข้าใจระบบการเทรดดีขึ้น คุณภาพและความเข้าใจเกี่ยวกับโบนัส รวบรวมโปรโมชันโบนัสของโบรกเกอร์ต่างๆไว้มากมาย แต่เน้นย้ำให้ทำความเข้าใจเงื่อนไขก่อนตัดสินใจเลือกโบนัส อธิบายผลดีผลเสียของการรับโบนัสชัดเจน ปกป้องผู้อ่านจากปัญหาในภายหลังหากเลือกใช้โบนัสโดยไม่เข้าใจเงื่อนไข ความน่าเชื่อถือของผู้เขียน บทความทั้งหมดเขียนโดย Nine SAKA ผู้มีประสบการณ์เทรด Forex กว่า 10 ปี ผู้เขียนมีความรู้ลึกซึ้งในวงการลงทุนทั้งเทคนิคและข้อมูลเชิงลึก เนื้อหามีน้ำหนักและมีคุณภาพ เชื่อถือได้ ถ่ายทอดความรู้ด้วยวิธีที่อธิบายง่าย [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Sniper เทรด คือ เทคนิคการเทรดในตลาดเงินอย่างหนึ่ง เช่น ตลาดหุ้น ตลาด Crypto ตลาดเงิน สามารถใช้เทรดระยะสั้นหรือระยะยาวได้ วิธีการของ Sniper trading คือ การเทรดอย่างแม่นยำหวังผลจำนวนมาก พูดง่าย ๆ ก็คือกำไรจำนวนมากในการเทรด 1 ครั้ง นั่นเอง สไนเปอร์เทรดมีลักษณะอย่างไร การเทรดแบบสไนเปอร์หลายคนอาจจะสับสนกับการเทรดระยะสั้น แต่ว่าการเทรดแบบ sniper ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นระยะสั้น เป็นระยะใดก็ได้ขอเพียงมีความแม่นยำสูง แล้วลักษณะอะไรบ้างที่ทำให้รู้ว่ามี sniper trading การเทรดจะต้องมีความอดทน รอจังหวะมาก ๆ เมื่อไม่ใช่สัญญาณเทรดไม่แน่ใจจะไม่ลั่นไกเด็ดขาด การเทรดต้องมีทางหนีทีไล่ มี Stop loss การเทรดสไนเปอร์เทรด จะต้องมีแผนการเทรดชัดเจน เทรด Time Frame ใดก็ได้เมื่อมีโอกาส และยืดหยุ่น การเทรดแบบ sniper เทรดดิ้ง จะต้องมีคนชี้เป้า ลักษณะเทรดเดอร์ที่จะเทรด sniper ประสบความสำเร็จ สำหรับนักเทรดแบบ sniper trade [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Candlestick Pattern คืออะไร Candlestick Pattern หรือรูปแบบของเทียนเทียน (Candlestick) คือ เทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีที่มาจากญี่ปุ่น ถูกใช้ในการวิเคราะห์ราคาของหุ้น, สินค้าหรือสกุลเงินในตลาดทุนและตลาดเงินเพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต Candlestick มีส่วนประกอบสำคัญ 4 ส่วน คือ ราคาเปิด (Open), ราคาปิด (Close), ราคาสูงสุด (High) และราคาต่ำสุด (Low) ภายในช่วงเวลาที่กำหนด ถ้าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิดจะได้เทียนสีเขียวหรือขาว แต่ถ้าราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด เราจะได้เทียนสีแดงหรือดำ มีหลากหลายรูปแบบ Candlestick ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ รวมถึง Bullish Engulfing, Bearish Engulfing, Hammer, Hanging Man, Doji และอื่น ๆ ทั้งหมดนี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางของตลาด และสามารถทำการลงทุนอย่างมีระบบและรอบคอบได้ ในส่วนของการใช้งาน Candlestick Pattern ควรถูกใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์เทคนิคอื่น ๆ เพื่อยืนยันแนวโน้มหรือสัญญาณที่ได้ การใช้มันเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ให้ความแม่นยำที่ต้องการ Candlestick Pattern มีกี่แบบ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
บัญชี Zero Spread คืออะไร บัญชี Zero Spread คือ ประเภทบัญชีที่ราคา Bid และราคา Ask ไม่มีความแตกต่างกัน หมายถึงการไม่มีค่าสเปรด ค่าสเปรดคงที่เป็นศูนย์ หรือ ค่าสเปรดเข้าใกล้ค่าศูนย์มาก ๆ เทรดเดอร์สามารถทราบต้นทุนการเทรดแบบคงที่ล่วงหน้า สามารถวางแผนการเข้าและออกออเดอร์ รวมถึงผลกำไรที่จะได้รับอย่างแม่นยำกว่าประเภทบัญชีอื่น ๆ ที่มีค่าสเปรดแปรผันไปตามราคาตลาด ค่าสเปรดที่เป็นศูนย์สามารถทำให้เทรดเดอร์คำนวณกำไรและขาดทุนที่ไม่ได้มาจากการเทรดได้ เช่น Slippage อีกทั้งยังเหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดแบบ Scalping ที่มีความถี่ในการส่งคำสั่งสูง แล้วยังเหมาะสมกับ Day Trade บัญชี Zero Spread เหมาะสมกับเทรดเดอร์ที่ต้องการทดลองเทรดกับโบรกเกอร์นั้น ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเผชิญกับต้นทุนการเทรดที่สูง ข้อดีบัญชี Zero Spread ประเภทบัญชี Zero Spread มีข้อดี ดังต่อไปนี้ สเปรดคงที่เป็นศูนย์หรือเข้าใกล้ศูนย์มาก ๆ เป็นประเภทบัญชีที่มีค่าสเปรดต่ำที่สุดในบรรดาประเภทบัญชีทั้งหมด การเปลี่ยนทิศทางการเทรดทำได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าประเภทบัญชีที่มีค่าสเปรด เช่น หากเปิด Buy แล้วต้องการเปลี่ยนทิศทางเป็น Sell [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
ความเสี่ยงในการลงทุน คืออะไร ความเสี่ยงในการลงทุน คือ สภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนการลงทุนที่คาดหวังไว้หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อทุนลงทุนของนักลงทุน การลงทุนไม่ว่าจะเป็นในตราสารทุน, ตราสารหนี้, สินทรัพย์ทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจหรือการลงทุนใดๆ ฯลฯ ล้วนมีความเสี่ยงแฝงอยู่เสมอ ความเสี่ยงในการลงทุนไม่ว่าจะเกิดจากส่วนใดก็ตาม จะสามารถทำให้ผลตอบแทนที่คาดหวังไม่สำเร็จหรือแม้กระทั่งทำให้เกิดความเสียหายต่อทุนลงทุนของนักลงทุน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้แม้ในการลงทุนที่ดูเหมือนจะปลอดภัยอย่างตราสารหนี้ของรัฐบาล ดังนั้นการมีความรู้และเข้าใจเรื่องความเสี่ยงในการลงทุนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นักลงทุนที่มีความรู้และเข้าใจเรื่องความเสี่ยงจะสามารถวางแผนการลงทุนได้มากขึ้น รวมถึงการวางแผนในการจัดการความเสี่ยงด้วย ทำให้สามารถลดผลกระทบจากความเสี่ยงและสามารถทำให้การลงทุนสามารถเป็นไปตามที่คาดหวังได้มากขึ้น ทั้งนี้การเลือกลงทุนไม่ได้มีแค่ความเสี่ยงเพียงอย่างเดียวที่ต้องคำนึงถึง นักลงทุนยังต้องพิจารณาถึงเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาในการลงทุน และสภาวะทางการเงินของตนเองด้วย ดังนั้นการวางแผนการลงทุนให้เหมาะสมเป็นสิ่งที่จำเป็น ทั้งนี้จุดสำคัญ คือ การต้องเข้าใจและรับรู้ถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนทั้งหมดเพื่อให้สามารถตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ความเสี่ยงในการลงทุน มีอะไรบ้าง ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk): เป็นความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงในราคาของตราสารทุน, ตราสารหนี้, หรือสินทรัพย์อื่นๆ ในตลาดซึ่งส่งผลกระทบต่อมูลค่าทั้งหมดของการลงทุน ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk): เป็นความเสี่ยงจากการที่ผู้กู้หรือผู้ออกหน่วยลงทุนไม่สามารถที่จะชำระหนี้หรือทำตามสัญญาการลงทุนที่ทำไว้ ความเสี่ยงด้านดอกเบี้ย (Interest Rate Risk): เป็นความเสี่ยงจากการที่อัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อมูลค่าของตราสารหนี้ที่ลงทุนอยู่ ความเสี่ยงด้านสกุลเงิน (Currency Risk): เป็นความเสี่ยงจากการที่อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินมีการเปลี่ยนแปลง ความเสี่ยงด้านทางกฎหมาย (Legal Risk): เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย, ข้อบังคับ, หรือนโยบายรัฐบาลที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
การหาจุดเข้าซื้อ forex คืออะไร การหาจุดเข้าซื้อใน Forex หรือเรียกว่า “entry point” คือ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดเพื่อหาจุดที่นักเทรดจะเริ่มซื้อสกุลเงิน นั่นคือ นักเทรดมองหาช่วงเวลาที่ราคาเป็นไปในทางที่มีประโยชน์ต่อการซื้อของตัวเอง การหาจุดเข้าซื้อใน Forex จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย และมักจะรวมถึงวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ทางพื้นฐาน นี่คือสองวิธีที่นักเทรดมักใช้ วิเคราะห์ทางเทคนิค นักเทรดอาจจะมองหาแผนภูมิที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในราคา นั่นอาจรวมถึงการดูการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตเพื่อทำนายการเคลื่อนไหวในอนาคต ตัวอย่างเช่น นักเทรดอาจจะมองหาแนวรับและแนวต้าน การเข้าเส้นเทรนด์และแพทเทิร์นแผนภูมิที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เช่น double tops หรือ double bottoms นอกจากนี้ ยังอาจจะใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น moving averages, Relative Strength Index (RSI), หรือ MACD ในการสนับสนุนการตัดสินใจ วิเคราะห์ทางพื้นฐาน นักเทรดอาจจะใช้ข้อมูลเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงในนโยบายธนาคารกลางหรือข่าวสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาสกุลเงิน ตัวอย่างเช่น ถ้าประเทศหนึ่งประกาศว่ามีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย สกุลเงินของประเทศนั้นอาจจะเพิ่มขึ้น, ซึ่งสามารถสร้างโอกาสในการซื้อสำหรับนักเทรด ดังนั้นเพื่อหาจุดเข้าซื้อที่ดีที่สุด สิ่งที่จำเป็นต้องมีความรู้และความเข้าใจ ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ทางพื้นฐานให้ละเอียดมากที่สุด คำนิยาม ของการหาจุดเข้าซื้อ forex [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
แนวรับแนวต้าน คืออะไร แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) ในการเทรด Forex หรือตลาดเงินตราต่างประเทศ ทำงานในวิธีการที่คล้ายกับตลาดหุ้น แต่ในกรณีนี้ เป็นการวิเคราะห์ระดับราคาในคู่เงินต่างประเทศ (currency pairs) แทนการวิเคราะห์หุ้น แนวรับ (Support เป็นระดับราคาที่คู่เงินมักจะหยุดลดลง และเริ่มต้นติดลบขึ้น เนื่องจากมีการซื้อที่เพิ่มขึ้นในระดับราคานั้น ถูกเรียกว่า “ระดับสนับสนุน” เพราะเหมือนมีผู้ซื้อที่ “สนับสนุน” ราคาเพื่อไม่ให้มันตกต่ำลงไป “แนวรับ” หรือ Support ในตลาด Forex คือ ระดับราคาที่คู่เงินต่างประเทศ (currency pair) มักจะไม่ลดลงอีกต่อไป หรือหยุดลดลง และอาจจะขึ้นสูงขึ้น ระดับราคานี้เกิดขึ้นเมื่อมีความต้องการในการซื้อที่เพิ่มขึ้นหรือเมื่อความจำนงการขายลดลง การตั้งแนวรับมักจะทำโดยการดูจุดต่ำสุดที่คู่เงินได้ถึงในช่วงเวลาที่ผ่านมาหากมีจุดที่คู่เงินมาถึงแล้วหยุดตกลงบ่อยครั้งจะสามารถทำเส้นเชื่อมต่อจุดเหล่านั้นกัน เรียกเส้นนั้นว่า “แนวรับ” แนวรับที่เราพบเป็นอย่างบ่อย คือ ระดับที่นักลงทุนรู้สึกว่าราคาของคู่เงินนั้นเริ่มจะ “ถูก” หรือ “มีคุ้มค่า” ซึ่งทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อเพิ่มขึ้น จึงสร้างแรงกดดันให้ราคาขึ้น ระดับราคาที่เป็นแนวรับสามารถช่วยให้คุณตัดสินใจเกี่ยวกับตำแหน่งการซื้อขาย ตัวอย่างเช่น หากราคาของคู่เงินตกลงมาถึงระดับแนวรับ คุณอาจจะคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะซื้อเพราะราคามักจะขึ้นในระยะสั้น แต่นักเทรดควรระวังเพราะราคาอาจจะทะลุแนวรับไปด้านล่างถ้าแรงซื้อน้อยลง [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
แท่งเทียน คืออะไร แท่งเทียนหรือ Candlestick เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้สำหรับการแสดงราคาที่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่กำหนดไว้ วิธีนี้มาจากญี่ปุ่น และเป็นที่นิยมในการวิเคราะห์กราฟราคาตลาดหุ้น สกุลเงิน และตลาดอื่นๆ แท่งเทียนประกอบด้วยสี่ส่วนหลักคือ ราคาเปิด (Open Price) : ราคาที่เริ่มต้นในช่วงเวลาที่กำหนด ราคาปิด (High Price) : ราคาที่สิ้นสุดในช่วงเวลาที่กำหนด ราคาสูงสุด (Low Price) : ราคาที่สูงที่สุดที่ถูกทำการซื้อขายในช่วงเวลาที่กำหนด ราคาต่ำสุด (Low Price) : ราคาที่ต่ำที่สุดที่ถูกทำการซื้อขายในช่วงเวลาที่กำหนด ถ้าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด แท่งเทียนจะถูกแสดงเป็นสีเขียว หรือขาว(ขึ้นอยู่กับการตั้งค่า) และถ้าราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด แท่งเทียนจะถูกแสดงเป็นสีแดง หรือดำ ในส่วนของ “ไส้เทียน” คือ เส้นที่ยื่นออกจากตัวแท่งเทียน แทนราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลานั้น ตัวแท่งเทียนในภาพรวมแสดงถึงกระแสความรู้สึกของผู้ลงทุนในตลาด และสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการทำนายแนวโน้มของตลาดในอนาคต แท่งเทียนบอกอะไรในการเทรด การวิเคราะห์แท่งเทียน (Candlestick) สามารถช่วยให้นักเทรดทำความเข้าใจถึงความผันผวนของราคา, แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงราคา และเป็นสัญญาณแนะนำสำหรับการทำการซื้อขาย มีหลากหลายรูปแบบแท่งเทียนที่นักเทรดทำใช้เป็นสัญญาณ บางรูปแบบมีความแม่นยำสูงเมื่อใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม แท่งเทียนเดี่ยว: มีแท่งเทียนที่มีความหมายด้วยตัวเอง เช่น Doji [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]