Piercing Line คืออะไร? Piercing Line เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งติดต่อกัน เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง แท่งแรกเป็นแท่งเทียนสีดำ (bearish) ขนาดใหญ่ แท่งที่สองเป็นแท่งเทียนสีขาว (bullish) ที่เปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งแรก แท่งที่สองปิดสูงกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งแรก แต่ไม่สูงกว่าจุดเปิดของแท่งแรก Piercing Line ถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น (bullish reversal pattern) โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลงหรือที่ระดับแนวรับสำคัญ วิธีใช้ Piercing Line ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Piercing Line มีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน หรือที่ระดับแนวรับสำคัญ ตรวจสอบลักษณะของแท่งเทียน: แท่งแรกต้องเป็นแท่งสีดำขนาดใหญ่ แท่งที่สองต้องเป็นแท่งสีขาวที่เปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งแรก แท่งที่สองต้องปิดสูงกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งแรก แต่ไม่สูงกว่าจุดเปิดของแท่งแรก วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในแท่งที่สองอาจเป็นสัญญาณยืนยันที่แข็งแกร่ง สังเกตแท่งเทียนที่ตามมา: แท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลัง Piercing Line มีความสำคัญในการยืนยันการกลับตัว ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น: เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (RSI) เพื่อยืนยันสัญญาณ ข้อควรระวังในการใช้ Piercing Line [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Head and Shoulders Bottom คืออะไร? Head and Shoulders Bottom เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่มักเกิดขึ้นเมื่อแนวโน้มตลาดกำลังจะเปลี่ยนจากขาลงเป็นขาขึ้น โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: เป็นรูปแบบที่กลับด้านของ Head and Shoulders Top ประกอบด้วยไหล่ซ้าย (left shoulder), หัว (head), และไหล่ขวา (right shoulder) ที่กลับหัว มีเส้นคอ (neckline) ที่ลากผ่านจุดสูงสุดของทั้งสามจุดต่ำ ปริมาณการซื้อขาย (volume) มีความสำคัญในการยืนยันรูปแบบ การเกิดรูปแบบ Head and Shoulders Bottom ไหล่ซ้าย: ราคาเคลื่อนที่ขึ้นจากจุดต่ำแรกพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น หัว: ราคาลดลงสู่จุดต่ำใหม่ที่ต่ำกว่าไหล่ซ้าย จากนั้นฟื้นตัวขึ้นด้วยปริมาณการซื้อขายที่มากกว่าช่วงก่อนหน้า ไหล่ขวา: เกิดการปรับตัวลงอีกครั้งด้วยปริมาณการซื้อขายต่ำ จากนั้นราคาพุ่งขึ้นอย่างแรงด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้น การยืนยัน: รูปแบบจะสมบูรณ์เมื่อราคาทะลุผ่านเส้นคอขึ้นไปพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความแตกต่างจาก Head and Shoulders Top ระยะเวลาการเกิดรูปแบบ: Head and Shoulders [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Falling Wedge คืออะไร? Falling Wedge เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่มักพบในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: เป็นรูปแบบที่มีลักษณะคล้ายลิ่มหรือทรงกรวยที่เอียงลง ประกอบด้วยเส้นแนวโน้มสองเส้นที่เอียงลงและบีบเข้าหากัน เส้นแนวโน้มด้านบนมีความชันมากกว่าเส้นแนวโน้มด้านล่าง มักเกิดขึ้นในช่วงแนวโน้มขาลง แต่สามารถเป็นสัญญาณการกลับตัวขาขึ้นได้ ลักษณะสำคัญของ Falling Wedge รูปแบบราคา: ราคามีการเคลื่อนที่ลงเป็นช่วงๆ โดยมีจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลงเรื่อยๆ ความกว้างของรูปแบบ: รูปแบบจะแคบลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากเส้นแนวโน้มทั้งสองเข้าใกล้กัน ระยะเวลาการเกิดรูปแบบ: สามารถเกิดขึ้นในระยะสั้น (ไม่กี่วัน) หรือระยะยาว (หลายเดือน) ปริมาณการซื้อขาย: มักจะลดลงเมื่อรูปแบบพัฒนาไป แต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบ วิธีใช้ Falling Wedge ในการวิเคราะห์ การระบุรูปแบบ: สังเกตการเคลื่อนที่ของราคาที่มีลักษณะเป็นลิ่มเอียงลง ลากเส้นแนวโน้มเชื่อมจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของการเคลื่อนไหวราคา การยืนยันการทะลุ: รอให้ราคาทะลุเส้นแนวโน้มด้านบนขึ้นไป การทะลุควรเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณมักจะลดลงระหว่างการพัฒนารูปแบบ ควรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบ การคำนวณเป้าหมายราคา: วัดความสูงของจุดเริ่มต้นของ Wedge นำระยะดังกล่าวไปวัดต่อจากจุดที่ราคาทะลุออก เพื่อประมาณเป้าหมายราคา การใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น: ใช้ร่วมกับตัวบ่งชี้แนวโน้มหรือ oscillators เพื่อยืนยันสัญญาณ พิจารณาแนวรับแนวต้านสำคัญประกอบการวิเคราะห์ ข้อควรระวังในการใช้ Falling [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Head and Shoulders Top คืออะไร? Head and Shoulders Top เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่มักเกิดขึ้นเมื่อแนวโน้มตลาดกำลังจะเปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยไหล่ซ้าย (left shoulder), หัว (head), และไหล่ขวา (right shoulder) มีเส้นคอ (neckline) ที่ลากผ่านจุดต่ำสุดของทั้งสามยอด ปริมาณการซื้อขาย (volume) มีความสำคัญในการยืนยันรูปแบบ การเกิดรูปแบบ Head and Shoulders Top ไหล่ซ้าย: เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการเคลื่อนไหวขาขึ้นที่ยาวนาน โดยมีปริมาณการซื้อขายสูงอย่างเห็นได้ชัด หัว: ราคาปรับตัวขึ้นอีกครั้งสูงกว่ายอดของไหล่ซ้าย โดยมีปริมาณการซื้อขายปกติหรือสูง ไหล่ขวา: ราคาปรับตัวขึ้นอีกครั้งแต่ต่ำกว่ายอดของหัว และมีปริมาณการซื้อขายน้อยกว่าการเกิดไหล่ซ้ายและหัว การยืนยัน: รูปแบบจะสมบูรณ์เมื่อราคาทะลุผ่านเส้นคอลงมาและยังคงลดลงต่อไป ข้อควรระวังในการใช้ Head and Shoulders Top รูปแบบที่ไม่สมบูรณ์: บางครั้งรูปแบบอาจไม่สมมาตรหรือเอียงเล็กน้อย เส้นคอ: อาจไม่เป็นแนวนอนเสมอไป แต่อาจเป็นเส้นขึ้นหรือลงได้ การยืนยัน: ควรรอให้ราคาทะลุเส้นคอลงมาอย่างชัดเจนก่อนตัดสินใจ Pull-back: ราคาอาจดีดกลับขึ้นมาทดสอบเส้นคออีกครั้งก่อนที่จะลงต่อ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Forex หรือ Foreign Exchange Market เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆ ทั่วโลก บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดทุกแง่มุมของ Forex ตั้งแต่ความหมาย ประวัติ กลไกการทำงาน ไปจนถึงวิธีการเทรดและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง Forex คืออะไร Forex ย่อมาจาก Foreign Exchange Market หมายถึงตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นตลาดการเงินที่ไม่มีศูนย์กลาง (Decentralized) และมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ความสำคัญของ Forex: เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินต่างๆ เอื้ออำนวยต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน ประวัติและพัฒนาการของตลาด Forex การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ตลาด Forex สมัยใหม่เริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 โดยมีพัฒนาการสำคัญดังนี้: ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2: ใช้ระบบมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ในการกำหนดค่าเงิน 1944: การลงนามในข้อตกลง Bretton Woods [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
โบรกเกอร์ A Book คือ โบรกเกอร์ Forex ที่ให้บริการโดยไม่รับออเดอร์ไว้เอง คือโบรกเกอร์ Forex ที่ส่งคำสั่งเข้าตลาดกลาง การส่งคำสั่งมีสองรูปแบบ ได้แก่ การส่งคำสั่งแบบอีเล็กทรอนิกส์ หรือ ECN หรือการส่งคำสั่งแบบ Straight Through Process (STP) การส่งคำสั่งจะรวดเร็ว เมื่อส่งคำสั่งเข้าตลาดจะไม่มีปัญหาในการส่งคำสั่งเลย โบรกเกอร์ A Book หมายถึงอะไร โบรกเกอร์ A book ไม่ได้หมายความว่า โบรกเกอร์นั้นจะเป็น A book แต่ว่าโบรกเกอร์ A book หมายความว่ามีบัญชีที่ส่งเข้าตลาดกลางให้บริการ ตัวอย่างเช่น โบรกเกอร์ A Book คือ Exness ซึ่งมีทั้งรูปแบบประเภทบัญชี A Book ได้แก่ บัญชี Raw Spread จะไม่ค่อยมีปัญหาในการส่งคำสั่ง ขณะที่บัญชีประเภทอื่นเป็นบัญชี B book หมด [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Bull Bear Power indicator คืออะไร Bull และ Bear Power Indicator คือ เครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้สำหรับวัดแรงของแท่งราคาในการขาขึ้น (Bulls) และการขาลง (Bears) ในระยะเวลาที่กำหนด มันถูกคิดค้นขึ้นโดย Alexander Elder และมักจะใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ เพื่อทำนายแนวโน้มและให้สัญญาณซื้อหรือขาย Bull Power คำนวณโดยการหักค่า Low ของวันจาก EMA (Exponential Moving Average) และ Bear Power คำนวณโดยการหัก EMA จากค่า Low ของวัน ค่า Bull Power ที่เพิ่มขึ้นแสดงถึงแรงขับของ Bulls ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ค่า Bear Power ที่ลดลงแสดงถึงแรงขับของ Bears ที่ลดลง หนึ่งในจุดเด่นของ Bull Bear Power คือความสามารถในการให้สัญญาณแนวโน้มที่ชัดเจน [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
ตารางเปรียบเทียบโบรกเกอร์ Forex ที่ดีที่สุด ถ้าหากคุณยังหาโบรกเกอร์ไม่ได้ น้องเป็ดแนะนำโบรกเกอร์ Forex เหล่านี้โบรกเกอร์ไหนก็ได้ค่ะ ซึ่งดีทุกโบรกเกอร์ และแต่ละบัญชีก็มีข้อดีแตกต่างกัน ตามตารางนี้เลยค่ะ forexduckFOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง www.forexduck.com
Average True Range คือ Average True Range คือ เครื่องมือบอกความผันผวนของการเคลื่อนไหวของราคา Average True Range มีชื่อย่อว่า ATR เป็น indicator เครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงในตลาด Forex ตลาดหุ้น และตลาด Cryptocurrency เพราะสามารถช่วยบอกความผันผวนของการเทรดได้ โดยการเทรดนั้นจะต้องอาศัยความผันผวนในการทำกำไร เพื่อให้ตอบโจทย์ว่าแต่ละวันราคาแกว่งตัวเท่ากับเท่าไหร่ Average True Range หรือ ATR Indicator เรียกย่อได้ว่า ATR สามารถเป็นส่วนช่วยในการกำหนดขนาดเฉลี่ยของช่วงการซื้อขายรายวัน ตัวบ่งชี้ถูกคำนวณบนพื้นฐานของ true range หรือขอบเขตที่แท้จริง โดยใช้ค่าสัมบูรณ์ของราคาสูงสุดในปัจจุบันลบด้วยราคาปิดของวันห่อนหน้า หรือค่าสัมบูรณ์ของต่ำสุดในปัจจุบันลบด้วยราคาปิดของวันก่อนหน้า ATR แสดงค่าเฉลี่ยการเคลื่อนที่ของช่วงเหล่านี้ ATR มีความแตกต่างจากอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น Moving Average, MACD, RSI, Stochastic ที่มักใช้บอกแนวโน้มของราคา หรือระดับราคาการซื้อขายสุดโต่ง Overbought หรือ Oversold นั่น [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Forex คือ การพนันจริงไหม เป็นข้อกังขาที่นักเทรดและนักลงทุนหลายคนสงสัย การที่เราจะรู้ได้ว่าอะไรเป็นการพนันนั้น ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นว่า เป็นการพนันจริงหรือไม่ การที่เราจะรู้ว่าอะไรก็ตามเป็นการพนัน เราต้องรู้ก่อนว่า จะเป็นการพนันนั้นต้องมีลักษณะอย่างไร โดยที่ลักษณะของการพนันนั้นไม่ยาก และไม่ได้ใช้ความรู้อะไรมากมาย Forex คือ การพนันไหม ลักษณะของการพนัน จะมีลักษณะดังต่อไปนี้ อัตราการจ่าย – อัตราการจ่าย คือ ให้คุณลองนึกถึงการแทงฟุตบอล ที่มีอัตราการจ่ายไม่เต็ม นั่นคือ ถ้าเราแทง 1000 เราจะได้เงินมา 1800 นั่นคือ เงินเราเอง 1000 บวกเงินรางวัลที่เขาจ่าย 800 บาท หรือก็คือ เราแทง 1 แต่มันจ่ายมาแค่ 0.8 นั่นเองคับ โอกาสถูก – ส่วนมากแล้วเกมส์การพนันจะเกี่ยวข้องกับโอกาสชนะ ลองนึกถึงลอตเตอรี่ที่เราจะมีโอกาสถูกน้อย แล้วอย่างไหนที่จะเรียกว่า การพนัน การที่จะเรียกการพนันนั้นต้องดูจาก 2 ลักษณะคือ อัตราการจ่ายน้อยกว่า 1:1 หรือเหมือนเกมส์พนันฟุตบอลก็คือ แท่ง 1 แต่จ่ายน้อยกว่า [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]