ABC Bullish/Bearish คืออะไร? ABC Bullish และ ABC Bearish เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยสามจุดหลัก: A, B, และ C ใช้ในการคาดการณ์การกลับตัวของราคาในระยะสั้น สามารถพบได้ทั้งในแนวโน้มขาขึ้นและขาลง เป็นรูปแบบที่ใช้เวลาในการก่อตัวค่อนข้างสั้น มักเกิดขึ้นในกรอบเวลารายวันหรือรายชั่วโมง ABC Bullish จุด A: จุดต่ำสุดของการเคลื่อนไหวขาลง จุด B: จุดสูงสุดของการฟื้นตัวหลังจากจุด A จุด C: จุดต่ำสุดของการปรับฐานหลังจากจุด B (มักสูงกว่าจุด A) ABC Bearish จุด A: จุดสูงสุดของการเคลื่อนไหวขาขึ้น จุด B: จุดต่ำสุดของการปรับฐานหลังจากจุด A จุด C: จุดสูงสุดของการฟื้นตัวหลังจากจุด B (มักต่ำกว่าจุด A) ลักษณะสำคัญของ ABC Bullish/Bearish ความสัมพันธ์ระหว่างจุด: ใน ABC [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Cup with Handle คืออะไร? Cup with Handle เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่ถูกพัฒนาโดย William O’Neil ซึ่งมีลักษณะคล้ายถ้วยที่มีหูจับ โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยสองส่วนหลัก: ส่วน “ถ้วย” (Cup) และส่วน “หูจับ” (Handle) มักพบในช่วงแนวโน้มขาขึ้นหรือเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มขาขึ้น ใช้ในการคาดการณ์การทะลุขึ้นของราคาและการเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวขาขึ้นที่แข็งแกร่ง เป็นรูปแบบที่ใช้เวลาในการก่อตัวค่อนข้างนาน มักใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ลักษณะสำคัญของ Cup with Handle ส่วน “ถ้วย” (Cup): มีลักษณะคล้ายตัว U หรือถ้วยกลม มักใช้เวลาในการก่อตัว 7-65 สัปดาห์ ความลึกของถ้วยควรอยู่ที่ประมาณ 12% ถึง 33% จากจุดสูงสุด ส่วน “หูจับ” (Handle): เกิดขึ้นที่ด้านขวาของถ้วย มีลักษณะเป็นการพักตัวหรือการปรับฐานเล็กน้อย ควรมีความลึกไม่เกิน 8-12% ของความสูงของถ้วย มักใช้เวลาในการก่อตัว 5-55 วัน เส้นแนวต้าน (Breakout Line): [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Measured Move – Bearish คืออะไร? Measured Move – Bearish เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่ใช้ในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในแนวโน้มขาลง โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยสามส่วนหลัก: การเคลื่อนไหวลงครั้งแรก (First Leg Down), การพักตัว (Correction), และการเคลื่อนไหวลงครั้งที่สอง (Second Leg Down) มักพบในช่วงแนวโน้มขาลงหรือเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มขาลง ใช้ในการคาดการณ์เป้าหมายราคาของการเคลื่อนไหวลงครั้งที่สอง เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวางแผนการเทรดและการจัดการความเสี่ยง ลักษณะสำคัญของ Measured Move – Bearish First Leg Down: การเคลื่อนไหวลงอย่างมีนัยสำคัญจากจุดเริ่มต้น มักเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น Correction: การพักตัวหรือการฟื้นตัวชั่วคราวหลังจาก First Leg Down มักมีลักษณะเป็นรูปแบบการพักตัว เช่น Flag หรือ Pennant ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลงในช่วงนี้ Second Leg Down: การเคลื่อนไหวลงอีกครั้งหลังจากการพักตัว มักมีระยะทางใกล้เคียงกับ First Leg Down ปริมาณการซื้อขายควรเพิ่มขึ้นอีกครั้ง [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Measured Move – Bullish คืออะไร? Measured Move – Bullish เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่ใช้ในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในแนวโน้มขาขึ้น โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยสามส่วนหลัก: การเคลื่อนไหวขึ้นครั้งแรก (First Leg Up), การพักตัว (Correction), และการเคลื่อนไหวขึ้นครั้งที่สอง (Second Leg Up) มักพบในช่วงแนวโน้มขาขึ้นหรือเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มขาขึ้น ใช้ในการคาดการณ์เป้าหมายราคาของการเคลื่อนไหวขึ้นครั้งที่สอง เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวางแผนการเทรดและการจัดการความเสี่ยง ลักษณะสำคัญของ Measured Move – Bullish First Leg Up: การเคลื่อนไหวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากจุดเริ่มต้น มักเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น Correction: การพักตัวหรือการปรับฐานหลังจาก First Leg Up มักมีลักษณะเป็นรูปแบบการพักตัว เช่น Flag หรือ Pennant ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลงในช่วงนี้ Second Leg Up: การเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้งหลังจากการพักตัว มักมีระยะทางใกล้เคียงกับ First Leg Up ปริมาณการซื้อขายควรเพิ่มขึ้นอีกครั้ง [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Price Channel คืออะไร? Price Channel เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ประกอบด้วยเส้นขนานสองเส้นที่วาดล้อมรอบราคาของสินทรัพย์ โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: เส้นบน (Upper Channel Line) เชื่อมจุดสูงสุดของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด เส้นล่าง (Lower Channel Line) เชื่อมจุดต่ำสุดของราคาในช่วงเวลาเดียวกัน บางครั้งมีเส้นกลาง (Middle Line) ที่อยู่ระหว่างเส้นบนและเส้นล่าง ใช้ในการระบุแนวโน้มและจุดซื้อขายที่เป็นไปได้ ลักษณะสำคัญของ Price Channel การสร้าง Price Channel: กำหนดช่วงเวลาที่ต้องการ (เช่น 20 วัน, 50 วัน) เส้นบนลากผ่านจุดสูงสุดในช่วงเวลานั้น เส้นล่างลากผ่านจุดต่ำสุดในช่วงเวลาเดียวกัน ความกว้างของ Channel: ช่องว่างระหว่างเส้นบนและเส้นล่างแสดงถึงความผันผวนของราคา Channel ที่กว้างขึ้นบ่งชี้ถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ทิศทางของ Channel: Channel ที่เอียงขึ้นบ่งชี้แนวโน้มขาขึ้น Channel ที่เอียงลงบ่งชี้แนวโน้มขาลง Channel ที่แนวนอนบ่งชี้การเคลื่อนไหวแบบ Sideways การทะลุ Channel: การทะลุเส้นบนอาจเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง การทะลุเส้นล่างอาจเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง วิธีใช้ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Rectangle คืออะไร? Rectangle หรือ Rectangle Pattern เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยเส้นแนวต้านด้านบนและเส้นแนวรับด้านล่างที่ขนานกัน ราคามีการเคลื่อนไหวขึ้นลงระหว่างแนวต้านและแนวรับอย่างต่อเนื่อง สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในแนวโน้มขาขึ้น ขาลง หรือช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวในกรอบ (Sideways) มักถูกมองว่าเป็นรูปแบบการพักตัวของราคาก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ ลักษณะสำคัญของ Rectangle รูปแบบราคา: มีแนวต้านด้านบนและแนวรับด้านล่างที่ชัดเจนและขนานกัน ราคามีการเคลื่อนไหวขึ้นลงระหว่างแนวต้านและแนวรับอย่างน้อย 2 ครั้ง ระยะเวลาการเกิดรูปแบบ: สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น (ไม่กี่วัน) หรือระยะยาว (หลายเดือน) รูปแบบที่เกิดขึ้นนานกว่ามักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า ปริมาณการซื้อขาย: มักจะลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่ราคาเคลื่อนไหวในกรอบ ควรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบ ทิศทาง: สามารถทะลุออกได้ทั้งทางด้านบนและด้านล่าง ทิศทางการทะลุมักจะสอดคล้องกับแนวโน้มหลักก่อนหน้า (ถ้ามี) วิธีใช้ Rectangle ในการวิเคราะห์ การระบุรูปแบบ: สังเกตการเคลื่อนไหวของราคาที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลากเส้นแนวต้านด้านบนและแนวรับด้านล่างให้ขนานกัน การยืนยันการทะลุ: รอให้ราคาทะลุออกจากกรอบสี่เหลี่ยม การทะลุควรเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณควรลดลงในขณะที่ราคาเคลื่อนไหวในกรอบ ควรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบ การคำนวณเป้าหมายราคา: วัดความสูงของ Rectangle (ระยะห่างระหว่างแนวต้านและแนวรับ) นำระยะดังกล่าวไปวัดต่อจากจุดที่ราคาทะลุออกจากรูปแบบ เพื่อประมาณเป้าหมายราคา การใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น: [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Descending Triangle คืออะไร? Descending Triangle เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมที่มีฐานด้านล่างเป็นเส้นตรงในแนวนอน โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยเส้นแนวรับด้านล่างที่เป็นแนวนอน และเส้นแนวโน้มด้านบนที่ลาดลง มักถูกมองว่าเป็นรูปแบบที่บ่งบอกถึงแนวโน้มขาลง (Bearish Pattern) สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในแนวโน้มขาลงที่มีอยู่แล้ว หรือเป็นสัญญาณการกลับตัวหลังจากแนวโน้มขาขึ้น บ่งชี้ถึงการสะสมแรงขายก่อนที่ราคาจะทะลุลงไป ลักษณะสำคัญของ Descending Triangle รูปแบบราคา: มีแนวรับด้านล่างที่เป็นเส้นตรงในแนวนอน มีแนวต้านด้านบนที่ลาดลงเรื่อยๆ ราคามีการเคลื่อนไหวในกรอบที่แคบลงเรื่อยๆ ระยะเวลาการเกิดรูปแบบ: มักใช้เวลาในการก่อตัวประมาณ 1-3 เดือน รูปแบบที่ใช้เวลานานกว่านี้อาจมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ปริมาณการซื้อขาย: มักจะลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่รูปแบบก่อตัว ควรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบทางด้านล่าง ทิศทาง: มักจะทะลุออกทางด้านล่าง แต่ก็มีโอกาสที่จะทะลุขึ้นได้เช่นกัน (แม้จะพบได้น้อยกว่า) วิธีใช้ Descending Triangle ในการวิเคราะห์ การระบุรูปแบบ: สังเกตการเคลื่อนไหวของราคาที่มีแนวรับด้านล่างเป็นเส้นตรง และแนวต้านด้านบนที่ลาดลง ลากเส้นแนวรับด้านล่างให้สัมผัสกับจุดต่ำสุดของราคา และเส้นแนวโน้มด้านบนให้สัมผัสกับจุดสูงสุด การยืนยันการทะลุ: รอให้ราคาทะลุออกจากแนวรับด้านล่าง การทะลุควรเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณควรลดลงในขณะที่รูปแบบก่อตัว ควรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบทางด้านล่าง การคำนวณเป้าหมายราคา: วัดความสูงของฐานสามเหลี่ยม (จากจุดสูงสุดของฐานถึงแนวรับด้านล่าง) นำระยะดังกล่าวไปวัดต่อจากจุดที่ราคาทะลุออกจากรูปแบบ เพื่อประมาณเป้าหมายราคา [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Ascending Triangle คืออะไร? Ascending Triangle เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมที่มีฐานด้านบนเป็นเส้นตรงในแนวนอน โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยเส้นแนวต้านด้านบนที่เป็นแนวนอน และเส้นแนวโน้มด้านล่างที่ลาดขึ้น มักถูกมองว่าเป็นรูปแบบที่บ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Pattern) สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในแนวโน้มขาขึ้นที่มีอยู่แล้ว หรือเป็นสัญญาณการกลับตัวหลังจากแนวโน้มขาลง บ่งชี้ถึงการสะสมกำลังซื้อก่อนที่ราคาจะทะลุขึ้นไป ลักษณะสำคัญของ Ascending Triangle รูปแบบราคา: มีแนวต้านด้านบนที่เป็นเส้นตรงในแนวนอน มีแนวรับด้านล่างที่ลาดขึ้นเรื่อยๆ ราคามีการเคลื่อนไหวในกรอบที่แคบลงเรื่อยๆ ระยะเวลาการเกิดรูปแบบ: มักใช้เวลาในการก่อตัวประมาณ 1-3 เดือน รูปแบบที่ใช้เวลานานกว่านี้อาจมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ปริมาณการซื้อขาย: มักจะลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่รูปแบบก่อตัว ควรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบทางด้านบน ทิศทาง: มักจะทะลุออกทางด้านบน แต่ก็มีโอกาสที่จะทะลุลงได้เช่นกัน (แม้จะพบได้น้อยกว่า) วิธีใช้ Ascending Triangle ในการวิเคราะห์ การระบุรูปแบบ: สังเกตการเคลื่อนไหวของราคาที่มีแนวต้านด้านบนเป็นเส้นตรง และแนวรับด้านล่างที่ลาดขึ้น ลากเส้นแนวต้านด้านบนให้สัมผัสกับจุดสูงสุดของราคา และเส้นแนวโน้มด้านล่างให้สัมผัสกับจุดต่ำสุด การยืนยันการทะลุ: รอให้ราคาทะลุออกจากแนวต้านด้านบน การทะลุควรเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณควรลดลงในขณะที่รูปแบบก่อตัว ควรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบทางด้านบน การคำนวณเป้าหมายราคา: วัดความสูงของฐานสามเหลี่ยม (จากจุดต่ำสุดของฐานถึงแนวต้านด้านบน) นำระยะดังกล่าวไปวัดต่อจากจุดที่ราคาทะลุออกจากรูปแบบ เพื่อประมาณเป้าหมายราคา [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Symmetrical Triangle คืออะไร? Symmetrical Triangle เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมที่มีความสมมาตร โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยเส้นแนวโน้มด้านบนที่ลาดลงและเส้นแนวโน้มด้านล่างที่ลาดขึ้น เส้นทั้งสองเข้าหากันและบรรจบกันที่จุดยอดของสามเหลี่ยม สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในแนวโน้มขาขึ้นและขาลง มักถูกมองว่าเป็นรูปแบบที่บ่งบอกถึงการพักตัวของราคาก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ลักษณะสำคัญของ Symmetrical Triangle รูปแบบราคา: ราคามีการเคลื่อนไหวในกรอบที่แคบลงเรื่อยๆ จุดสูงสุดลดต่ำลงและจุดต่ำสุดสูงขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ระยะเวลาการเกิดรูปแบบ: มักใช้เวลาในการก่อตัวประมาณ 1-3 เดือน รูปแบบที่ใช้เวลานานกว่านี้อาจมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ปริมาณการซื้อขาย: มักจะลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่รูปแบบก่อตัว ควรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบ ทิศทาง: สามารถทะลุออกได้ทั้งทางด้านบนและด้านล่าง ทิศทางการทะลุมักจะสอดคล้องกับแนวโน้มหลักก่อนหน้า วิธีใช้ Symmetrical Triangle ในการวิเคราะห์ การระบุรูปแบบ: สังเกตการเคลื่อนไหวของราคาที่มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมสมมาตร ลากเส้นแนวโน้มด้านบนและด้านล่างให้สัมผัสกับจุดสูงและจุดต่ำของราคา การยืนยันการทะลุ: รอให้ราคาทะลุออกจากกรอบสามเหลี่ยม การทะลุควรเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณควรลดลงในขณะที่รูปแบบก่อตัว ควรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบ การคำนวณเป้าหมายราคา: วัดความสูงของฐานสามเหลี่ยม (จุดที่กว้างที่สุดของรูปแบบ) นำระยะดังกล่าวไปวัดต่อจากจุดที่ราคาทะลุออกจากรูปแบบ เพื่อประมาณเป้าหมายราคา การใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น: ใช้ร่วมกับตัวบ่งชี้แนวโน้มหรือ oscillators เพื่อยืนยันสัญญาณ พิจารณาแนวรับแนวต้านสำคัญประกอบการวิเคราะห์ ข้อควรระวังในการใช้ Symmetrical Triangle [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Bump and Run Reversal คืออะไร? Bump and Run Reversal (BARR) เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่ถูกพัฒนาโดย Thomas Bulkowski ซึ่งสามารถใช้ในการคาดการณ์การกลับตัวของราคา โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยสามส่วนหลัก: Lead-in phase, Bump phase, และ Run phase มักเกิดขึ้นหลังจากช่วงแนวโน้มขาขึ้นที่ยาวนาน แสดงถึงการเก็งกำไรที่มากเกินไปและการกลับตัวของราคาที่รุนแรง ลักษณะสำคัญของ Bump and Run Reversal Lead-in phase: เป็นช่วงเริ่มต้นของรูปแบบ ราคามีการเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาขึ้นที่สม่ำเสมอ สามารถลากเส้นแนวโน้มด้านล่างที่เชื่อมจุดต่ำสุดได้ Bump phase: ราคาเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและชันมากขึ้น มักมีความผันผวนสูงและปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น ราคาอาจสร้างจุดสูงสุดหลายจุดในช่วงนี้ Run phase: ราคาเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว มักมีการทะลุเส้นแนวโน้มด้านล่างที่ลากมาจาก Lead-in phase เป็นสัญญาณของการกลับตัวและการเริ่มต้นของแนวโน้มขาลง วิธีใช้ Bump and Run Reversal ในการวิเคราะห์ การระบุรูปแบบ: สังเกตการเคลื่อนไหวของราคาที่มีลักษณะเป็นไปตามสามเฟสข้างต้น [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]