Tweezer Bottoms คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

42 Tweezer Bottoms

Tweezer Bottoms คืออะไร? Tweezer Bottoms เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งติดต่อกัน ทั้งสองแท่งมีจุดต่ำสุด (low) ที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก แท่งแรกมักเป็นแท่งเทียนสีดำ (bearish) และแท่งที่สองมักเป็นแท่งเทียนสีขาว (bullish) เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง Tweezer Bottoms ถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น (bullish reversal pattern) โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลงหรือที่ระดับแนวรับสำคัญ วิธีใช้ Tweezer Bottoms ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Tweezer Bottoms มีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน หรือที่ระดับแนวรับสำคัญ ตรวจสอบลักษณะของแท่งเทียน: ทั้งสองแท่งควรมีจุดต่ำสุดที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก แท่งแรกควรเป็นแท่งสีดำ และแท่งที่สองควรเป็นแท่งสีขาว (แต่ไม่จำเป็นเสมอไป) วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในแท่งที่สองอาจเป็นสัญญาณยืนยันที่แข็งแกร่ง สังเกตแท่งเทียนที่ตามมา: แท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลัง Tweezer Bottoms มีความสำคัญในการยืนยันการกลับตัว ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น: เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (RSI) เพื่อยืนยันสัญญาณ ข้อควรระวังในการใช้ Tweezer Bottoms ไม่ควรใช้เพียงอย่างเดียว: [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

EA คืออะไร Expert Advisor ทำอะไรได้บ้าง

1 EA คือ

Expert Advisor (EA) เป็นโปรแกรมอัตโนมัติที่ปฏิวัติวงการเทรด Forex ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา บทความนี้จะอธิบายทุกแง่มุมของ EA ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงการพัฒนาขั้นสูง เหมาะสำหรับทั้งนักเทรดมือใหม่และนักพัฒนาที่มีประสบการณ์ EA คืออะไร และทำงานอย่างไร EA หรือ Expert Advisor คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์และเทรดในตลาด Forex โดยอัตโนมัติ EA ทำงานบนแพลตฟอร์มการเทรดเช่น MetaTrader 4 (MT4) หรือ MetaTrader 5 (MT5) โดยใช้ภาษาโปรแกรม MQL4 และ MQL5 ตามลำดับ กลไกการทำงานของ EA มีดังนี้: รับข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์ วิเคราะห์ข้อมูลตามอัลกอริธึมที่กำหนด ตัดสินใจซื้อหรือขายตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้ ส่งคำสั่งซื้อขายไปยังโบรกเกอร์โดยอัตโนมัติ จัดการความเสี่ยงผ่านการตั้ง Stop Loss และ Take Profit ติดตามและปรับแต่งสถานะการเทรดตามสถานการณ์ ประเภทของ EA EA มีหลากหลายประเภท แต่ละประเภทมีกลยุทธ์และความเหมาะสมกับสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน: Trend Following [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Shark Bullish/Bearish คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

74 Shark bullish bearish pattern

Shark Bullish/Bearish คืออะไร? Shark Pattern เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่เป็นส่วนหนึ่งของ Harmonic Patterns ซึ่งถูกค้นพบโดย Scott Carney โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยห้าจุดสำคัญ: O, X, A, B, และ C ใช้อัตราส่วน Fibonacci ในการกำหนดจุดกลับตัวที่สำคัญ สามารถพบได้ทั้งในรูปแบบ Bullish (ขาขึ้น) และ Bearish (ขาลง) มีลักษณะคล้ายกับฉลามที่กำลังว่ายน้ำ Shark Bullish เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง จุด C เป็นจุดที่คาดว่าราคาจะกลับตัวขึ้น Shark Bearish เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น จุด C เป็นจุดที่คาดว่าราคาจะกลับตัวลง ลักษณะสำคัญของ Shark Bullish/Bearish อัตราส่วน Fibonacci ที่สำคัญ: OX: การเคลื่อนไหวเริ่มต้น XA: 1.13 – 1.618 ของ OX [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Crab Bullish/Bearish คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

73 Crab bullish bearish pattern

Crab Bullish/Bearish คืออะไร?   Crab Pattern เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่เป็นส่วนหนึ่งของ Harmonic Patterns ซึ่งถูกค้นพบโดย Scott Carney โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยห้าจุดสำคัญ: X, A, B, C, และ D ใช้อัตราส่วน Fibonacci ในการกำหนดจุดกลับตัวที่สำคัญ สามารถพบได้ทั้งในรูปแบบ Bullish (ขาขึ้น) และ Bearish (ขาลง) เป็นรูปแบบที่มีการขยายตัวมากที่สุดในบรรดา Harmonic Patterns ทั้งหมด Crab Bullish เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง จุด D เป็นจุดที่คาดว่าราคาจะกลับตัวขึ้น Crab Bearish เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น จุด D เป็นจุดที่คาดว่าราคาจะกลับตัวลง ลักษณะสำคัญของ Crab Bullish/Bearish อัตราส่วน Fibonacci ที่สำคัญ: AB = 0.382 – [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Cypher Bullish/Bearish คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

75 Cypher bullish bearish pattern

Cypher Bullish/Bearish คืออะไร? Cypher Pattern เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่เป็นส่วนหนึ่งของ Harmonic Patterns ซึ่งถูกค้นพบโดย Darren Oglesbee โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยห้าจุดสำคัญ: X, A, B, C, และ D ใช้อัตราส่วน Fibonacci ในการกำหนดจุดกลับตัวที่สำคัญ สามารถพบได้ทั้งในรูปแบบ Bullish (ขาขึ้น) และ Bearish (ขาลง) มีความแตกต่างจาก Harmonic Patterns อื่นๆ ในเรื่องของอัตราส่วนที่ใช้ Cypher Bullish เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง จุด D เป็นจุดที่คาดว่าราคาจะกลับตัวขึ้น Cypher Bearish เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น จุด D เป็นจุดที่คาดว่าราคาจะกลับตัวลง ลักษณะสำคัญของ Cypher Bullish/Bearish อัตราส่วน Fibonacci ที่สำคัญ: XA: การเคลื่อนไหวเริ่มต้น AB: 0.382 [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Bat Bullish/Bearish คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

72 Bat bullish bearish pattern

Bat Bullish/Bearish คืออะไร? Bat Pattern เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่เป็นส่วนหนึ่งของ Harmonic Patterns ซึ่งถูกค้นพบโดย Scott Carney ในปี 2001 โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยห้าจุดสำคัญ: X, A, B, C, และ D ใช้อัตราส่วน Fibonacci ในการกำหนดจุดกลับตัวที่สำคัญ สามารถพบได้ทั้งในรูปแบบ Bullish (ขาขึ้น) และ Bearish (ขาลง) ใช้ในการคาดการณ์จุดกลับตัวของราคาและโอกาสในการเทรด Bat Bullish เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง จุด D เป็นจุดที่คาดว่าราคาจะกลับตัวขึ้น Bat Bearish เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น จุด D เป็นจุดที่คาดว่าราคาจะกลับตัวลง ลักษณะสำคัญของ Bat Bullish/Bearish อัตราส่วน Fibonacci ที่สำคัญ: AB = 0.382 – 0.50 ของ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Butterfly Bullish/Bearish คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

71 Butterfly BullishBearish

Butterfly Bullish/Bearish คืออะไร? Butterfly เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่เป็นส่วนหนึ่งของ Harmonic Patterns ซึ่งใช้อัตราส่วน Fibonacci ในการวิเคราะห์ โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยห้าจุดสำคัญ: X, A, B, C, และ D ใช้อัตราส่วน Fibonacci ในการกำหนดจุดกลับตัวที่สำคัญ สามารถพบได้ทั้งในรูปแบบ Bullish (ขาขึ้น) และ Bearish (ขาลง) ใช้ในการคาดการณ์จุดกลับตัวของราคาและโอกาสในการเทรด Butterfly Bullish เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง จุด D เป็นจุดที่คาดว่าราคาจะกลับตัวขึ้น Butterfly Bearish เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น จุด D เป็นจุดที่คาดว่าราคาจะกลับตัวลง ลักษณะสำคัญของ Butterfly Bullish/Bearish อัตราส่วน Fibonacci ที่สำคัญ: AB = 0.786 ของ XA BC = 0.382 – [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Gartley Bullish/Bearish คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

70 Gartley BullishBearish

Gartley Bullish/Bearish คืออะไร? Gartley เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่ถูกคิดค้นโดย H.M. Gartley ในปี 1935 และได้รับการพัฒนาต่อโดย Scott Carney ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบ Harmonic Pattern ที่ใช้อัตราส่วน Fibonacci ในการวิเคราะห์ โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยห้าจุดสำคัญ: X, A, B, C, และ D ใช้อัตราส่วน Fibonacci ในการกำหนดจุดกลับตัวที่สำคัญ สามารถพบได้ทั้งในรูปแบบ Bullish (ขาขึ้น) และ Bearish (ขาลง) ใช้ในการคาดการณ์จุดกลับตัวของราคาและโอกาสในการเทรด Gartley Bullish เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง จุด D เป็นจุดที่คาดว่าราคาจะกลับตัวขึ้น Gartley Bearish เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น จุด D เป็นจุดที่คาดว่าราคาจะกลับตัวลง ลักษณะสำคัญของ Gartley Bullish/Bearish อัตราส่วน Fibonacci ที่สำคัญ: AB [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

3-Drives Bullish/Bearish คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

69 3 Drives BullishBearish

3-Drives Bullish/Bearish คืออะไร? 3-Drives เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่ประกอบด้วยการเคลื่อนไหวของราคาสามครั้งในทิศทางเดียวกัน โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยสามการเคลื่อนไหวหลัก หรือ “Drives” แต่ละ Drive มักจะมีระยะทางที่ใกล้เคียงกัน มักจะเกิดขึ้นในช่วงสิ้นสุดของแนวโน้มและบ่งชี้ถึงการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น สามารถพบได้ทั้งในรูปแบบ Bullish (ขาขึ้น) และ Bearish (ขาลง) 3-Drives Bullish เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง ประกอบด้วยสามจุดต่ำ (Drives) ที่ต่ำลงเรื่อยๆ หลังจาก Drive ที่สาม คาดว่าราคาจะกลับตัวขึ้น 3-Drives Bearish เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น ประกอบด้วยสามจุดสูง (Drives) ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจาก Drive ที่สาม คาดว่าราคาจะกลับตัวลง ลักษณะสำคัญของ 3-Drives Bullish/Bearish ความสัมพันธ์ระหว่าง Drives: แต่ละ Drive มักจะมีระยะทางที่ใกล้เคียงกัน อัตราส่วน Fibonacci (เช่น 0.618, 1.27, 1.618) มักถูกใช้ในการวัดระยะทางระหว่าง Drives [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

AB=CD Bullish/Bearish คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

68 AB=CD BullishBearish

AB=CD Bullish/Bearish คืออะไร? AB=CD เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคา โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยสี่จุดหลัก: A, B, C, และ D ระยะทางและเวลาระหว่าง A ถึง B มักจะใกล้เคียงกับระยะทางและเวลาระหว่าง C ถึง D ใช้ในการคาดการณ์จุดกลับตัวของราคา สามารถพบได้ทั้งในรูปแบบ Bullish และ Bearish AB=CD Bullish จุด A: จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวขาลง จุด B: จุดต่ำสุดของการเคลื่อนไหวขาลง จุด C: จุดสูงสุดของการฟื้นตัวหลังจากจุด B จุด D: จุดที่คาดว่าจะเป็นจุดต่ำสุดและเป็นจุดกลับตัวขาขึ้น AB=CD Bearish จุด A: จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวขาขึ้น จุด B: จุดสูงสุดของการเคลื่อนไหวขาขึ้น จุด C: จุดต่ำสุดของการปรับฐานหลังจากจุด B จุด D: จุดที่คาดว่าจะเป็นจุดสูงสุดและเป็นจุดกลับตัวขาลง [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]