Triple Top Reversal คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

55 Triple Top Reversal

Triple Top Reversal คืออะไร? Triple Top Reversal เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน ประกอบด้วยยอดราคาสามยอดที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน มีเส้นแนวรับ (neckline) ที่เชื่อมจุดต่ำสุดระหว่างยอดทั้งสาม ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลงในแต่ละยอดที่เกิดขึ้น ลักษณะสำคัญของ Triple Top Reversal รูปแบบราคา: ราคาทดสอบระดับสูงสุดสามครั้งโดยไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ ระยะห่างระหว่างยอด: ยอดทั้งสามมักจะห่างกันพอสมควร อาจเป็นหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ความสูงของยอด: ยอดทั้งสามควรอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเท่ากันทุกประการ เส้นแนวรับ (Neckline): เส้นที่เชื่อมจุดต่ำสุดระหว่างยอดทั้งสาม มักจะเป็นแนวนอนหรือเอียงเล็กน้อย วิธีใช้ Triple Top Reversal ในการวิเคราะห์ การระบุรูปแบบ: สังเกตการเกิดยอดราคาสามยอดที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ตรวจสอบว่าเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน การยืนยันการทะลุ: รอให้ราคาทะลุเส้นแนวรับ (neckline) ลงมา การทะลุควรเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณมักจะลดลงในแต่ละยอดที่เกิดขึ้น ควรเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อราคาทะลุเส้นแนวรับลงมา การคำนวณเป้าหมายราคา: วัดระยะจากยอดสูงสุดถึงเส้นแนวรับ นำระยะดังกล่าวไปวัดต่อจากจุดที่ราคาทะลุเส้นแนวรับลงมา เพื่อประมาณเป้าหมายราคาขาลง การใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น: ใช้ร่วมกับตัวบ่งชี้แนวโน้มหรือ oscillators เพื่อยืนยันสัญญาณ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Rising Wedge คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

54 Rising Wedge

Rising Wedge คืออะไร? Rising Wedge เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่มักพบในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: เป็นรูปแบบที่มีลักษณะคล้ายลิ่มหรือทรงกรวยที่เอียงขึ้น ประกอบด้วยเส้นแนวโน้มสองเส้นที่เอียงขึ้นและบีบเข้าหากัน เส้นแนวโน้มด้านล่างมีความชันมากกว่าเส้นแนวโน้มด้านบน มักเกิดขึ้นในช่วงแนวโน้มขาขึ้น แต่สามารถเป็นสัญญาณการกลับตัวขาลงได้ ลักษณะสำคัญของ Rising Wedge รูปแบบราคา: ราคามีการเคลื่อนที่ขึ้นเป็นช่วงๆ โดยมีจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ความกว้างของรูปแบบ: รูปแบบจะแคบลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากเส้นแนวโน้มทั้งสองเข้าใกล้กัน ระยะเวลาการเกิดรูปแบบ: สามารถเกิดขึ้นในระยะสั้น (ไม่กี่วัน) หรือระยะยาว (หลายเดือน) ปริมาณการซื้อขาย: มักจะลดลงเมื่อรูปแบบพัฒนาไป แต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบ วิธีใช้ Rising Wedge ในการวิเคราะห์ การระบุรูปแบบ: สังเกตการเคลื่อนที่ของราคาที่มีลักษณะเป็นลิ่มเอียงขึ้น ลากเส้นแนวโน้มเชื่อมจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของการเคลื่อนไหวราคา การยืนยันการทะลุ: รอให้ราคาทะลุเส้นแนวโน้มด้านล่างลงมา การทะลุควรเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณมักจะลดลงระหว่างการพัฒนารูปแบบ ควรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบ การคำนวณเป้าหมายราคา: วัดความสูงของจุดเริ่มต้นของ Wedge นำระยะดังกล่าวไปวัดต่อจากจุดที่ราคาทะลุออก เพื่อประมาณเป้าหมายราคาขาลง การใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น: ใช้ร่วมกับตัวบ่งชี้แนวโน้มหรือ oscillators เพื่อยืนยันสัญญาณ พิจารณาแนวรับแนวต้านสำคัญประกอบการวิเคราะห์ ข้อควรระวังในการใช้ Rising [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Double Bottom Reversal คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

50 Double Bottom Reversal

Double Bottom Reversal คืออะไร? Double Bottom Reversal เป็นรูปแบบกราฟที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง (downtrend) ที่ยาวนาน ประกอบด้วยจุดต่ำสุดสองจุด (two valleys) ที่มีระดับราคาใกล้เคียงกัน ระหว่างจุดต่ำสุดทั้งสองมีจุดสูงสุด (peak) ที่เรียกว่า “neckline” จุดต่ำสุดที่สองไม่สามารถหลุดต่ำกว่าระดับราคาต่ำสุดของจุดแรกได้ Double Bottom Reversal ถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น (bullish reversal pattern) ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงขายในตลาดกำลังอ่อนแรงลง และอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม วิธีใช้ Double Bottom Reversal ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Double Bottom Reversal ต้องเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลงที่ชัดเจนและยาวนาน ตรวจสอบลักษณะของจุดต่ำสุดทั้งสอง: จุดต่ำสุดทั้งสองควรมีระดับราคาใกล้เคียงกัน จุดต่ำสุดที่สองไม่สามารถหลุดต่ำกว่าระดับราคาต่ำสุดของจุดแรกได้อย่างมีนัยสำคัญ ระบุ neckline: สังเกตจุดสูงสุดระหว่างจุดต่ำสุดทั้งสอง ซึ่งจะกลายเป็น neckline รอการยืนยัน: การเกิด Double Bottom Reversal จะได้รับการยืนยันเมื่อราคาทะลุขึ้นเหนือ neckline วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Double Top Reversal คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

49 Double Top Reversal

Double Top Reversal คืออะไร? Double Top Reversal เป็นรูปแบบกราฟที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น (uptrend) ที่ยาวนาน ประกอบด้วยยอดสองยอด (two peaks) ที่มีระดับราคาใกล้เคียงกัน ระหว่างยอดทั้งสองมีจุดต่ำสุด (trough) ที่เรียกว่า “neckline” ยอดที่สองไม่สามารถทะลุระดับราคาสูงสุดของยอดแรกได้ Double Top Reversal ถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง (bearish reversal pattern) ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงซื้อในตลาดกำลังอ่อนแรงลง และอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม วิธีใช้ Double Top Reversal ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Double Top Reversal ต้องเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจนและยาวนาน ตรวจสอบลักษณะของยอดทั้งสอง: ยอดทั้งสองควรมีระดับราคาใกล้เคียงกัน ยอดที่สองไม่สามารถทะลุระดับราคาสูงสุดของยอดแรกได้อย่างมีนัยสำคัญ ระบุ neckline: สังเกตจุดต่ำสุดระหว่างยอดทั้งสอง ซึ่งจะกลายเป็น neckline รอการยืนยัน: การเกิด Double Top Reversal จะได้รับการยืนยันเมื่อราคาหลุดต่ำกว่า neckline วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Tweezer Tops คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

43 Tweezer Tops

Tweezer Tops คืออะไร? Tweezer Tops เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งติดต่อกัน ทั้งสองแท่งมีจุดสูงสุด (high) ที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก แท่งแรกมักเป็นแท่งเทียนสีขาว (bullish) และแท่งที่สองมักเป็นแท่งเทียนสีดำ (bearish) เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น Tweezer Tops ถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง (bearish reversal pattern) โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้นหรือที่ระดับแนวต้านสำคัญ วิธีใช้ Tweezer Tops ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Tweezer Tops มีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน หรือที่ระดับแนวต้านสำคัญ ตรวจสอบลักษณะของแท่งเทียน: ทั้งสองแท่งควรมีจุดสูงสุดที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก แท่งแรกควรเป็นแท่งสีขาว และแท่งที่สองควรเป็นแท่งสีดำ (แต่ไม่จำเป็นเสมอไป) วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในแท่งที่สองอาจเป็นสัญญาณยืนยันที่แข็งแกร่ง สังเกตแท่งเทียนที่ตามมา: แท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลัง Tweezer Tops มีความสำคัญในการยืนยันการกลับตัว ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น: เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (RSI) เพื่อยืนยันสัญญาณ ข้อควรระวังในการใช้ Tweezer Tops ไม่ควรใช้เพียงอย่างเดียว: [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Pennant คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

58 Flag, Pennant

Pennant คืออะไร? Pennant เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่จัดอยู่ในกลุ่มรูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Pattern) โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้: มีลักษณะคล้ายธงสามเหลี่ยม (Pennant) ที่แคบลงเรื่อยๆ เกิดขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็วและแรง (Sharp price movement) มักเกิดขึ้นในช่วงกลางของแนวโน้มที่มีอยู่ ใช้เวลาในการก่อตัวสั้นกว่ารูปแบบธงสามเหลี่ยม (Triangle) ทั่วไป ลักษณะสำคัญของ Pennant รูปแบบราคา: เริ่มต้นด้วยการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว (Flagpole) ตามด้วยการเคลื่อนไหวในกรอบแคบที่บีบตัวเข้าหากัน (Pennant) ระยะเวลาการเกิดรูปแบบ: มักใช้เวลาในการก่อตัวสั้น ประมาณ 1-3 สัปดาห์ ปริมาณการซื้อขาย: สูงในช่วงการเคลื่อนไหวแรกเริ่ม (Flagpole) ลดลงในช่วงการก่อตัวของ Pennant เพิ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อราคาทะลุออกจาก Pennant ทิศทาง: สามารถเกิดได้ทั้งในแนวโน้มขาขึ้นและขาลง วิธีใช้ Pennant ในการวิเคราะห์ การระบุรูปแบบ: สังเกตการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ลากเส้นแนวโน้มด้านบนและด้านล่างของ Pennant การยืนยันการทะลุ: รอให้ราคาทะลุออกจากกรอบ Pennant ในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก การทะลุควรเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณควรลดลงในช่วงการก่อตัวของ Pennant [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Darth Maul คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

48 Darth Maul

Darth Maul คืออะไร? Darth Maul เป็นชื่อที่นักเทรดใช้เรียกรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: มีตัวแท่งเทียน (real body) ขนาดเล็กมาก มีเงาบน (upper shadow) และเงาล่าง (lower shadow) ที่ยาวมากผิดปกติ เงาบนและเงาล่างมีความยาวใกล้เคียงกัน ชื่อ “Darth Maul” มาจากตัวละครในภาพยนตร์ Star Wars ที่ใช้ดาบไลท์เซเบอร์สองด้าน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับรูปร่างของแท่งเทียนนี้ Darth Maul มักถูกมองว่าเป็นสัญญาณของความไม่แน่นอนในตลาด โดยแสดงถึงการต่อสู้อย่างรุนแรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ไม่มีฝ่ายใดสามารถเอาชนะได้อย่างชัดเจน วิธีใช้ Darth Maul ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Darth Maul มีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเกิดขึ้นที่จุดสำคัญของแนวโน้ม หรือที่ระดับแนวรับแนวต้านสำคัญ ตรวจสอบลักษณะของแท่งเทียน: ตัวแท่งเทียนควรมีขนาดเล็กมาก เงาบนและเงาล่างควรมีความยาวมากกว่าปกติและใกล้เคียงกัน วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายที่สูงผิดปกติอาจเป็นสัญญาณยืนยันของความผันผวนและความไม่แน่นอน สังเกตแท่งเทียนที่ตามมา: แท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลัง Darth Maul มีความสำคัญในการบ่งชี้ทิศทางต่อไปของตลาด ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น: เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Judas Candle คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

47 Judas Candle

Judas Candle คืออะไร? Judas Candle เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งติดต่อกัน แท่งแรกเป็นแท่งเทียนสีดำ (bearish) ขนาดใหญ่ แท่งที่สองเป็นแท่งเทียนสีขาว (bullish) ที่มีขนาดเล็กกว่า แท่งที่สองมีเงาล่าง (lower shadow) ที่ยาวเท่ากับความยาวของแท่งแรก ชื่อ “Judas Candle” มาจากการเปรียบเทียบกับการทรยศของยูดาส อิสคาริโอท ในคัมภีร์ไบเบิล เนื่องจากรูปแบบนี้มักจะหลอกให้นักลงทุนคิดว่าตลาดกำลังจะกลับตัวขึ้น แต่ในความเป็นจริงอาจเป็นเพียงการพักตัวชั่วคราวก่อนที่ราคาจะลงต่อ Judas Candle มักถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการยืนยันแนวโน้มขาลง (bearish continuation pattern) แม้ว่าจะมีแท่งเทียนสีขาวเกิดขึ้นก็ตาม วิธีใช้ Judas Candle ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Judas Candle มักเกิดขึ้นในช่วงแนวโน้มขาลง และมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเกิดขึ้นหลังจากการลงอย่างรุนแรง ตรวจสอบลักษณะของแท่งเทียน: แท่งแรกต้องเป็นแท่งสีดำขนาดใหญ่ แท่งที่สองต้องเป็นแท่งสีขาวที่มีขนาดเล็กกว่า เงาล่างของแท่งที่สองต้องมีความยาวเท่ากับความยาวของแท่งแรก วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายที่ลดลงในแท่งที่สองอาจเป็นสัญญาณยืนยันของ Judas Candle สังเกตแท่งเทียนที่ตามมา: แท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลัง Judas Candle มีความสำคัญในการยืนยันการดำเนินต่อของแนวโน้มขาลง ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น: [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Rising Window คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

46 Rising Window

Rising Window คืออะไร? Rising Window หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Upside Gap” เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: เกิดขึ้นในช่วงแนวโน้มขาขึ้น (uptrend) ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งติดกัน ระหว่างสองแท่งเทียนมีช่องว่าง (gap) โดยราคาต่ำสุดของแท่งที่สองสูงกว่าราคาสูงสุดของแท่งแรก Rising Window ถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการดำเนินต่อของแนวโน้มขาขึ้น (bullish continuation pattern) ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงซื้อยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง วิธีใช้ Rising Window ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Rising Window ต้องเกิดขึ้นในช่วงแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน และมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเกิดขึ้นหลังจากการพักตัวของราคาระยะสั้น ตรวจสอบขนาดของ gap: ยิ่ง gap มีขนาดใหญ่ ยิ่งแสดงถึงแรงซื้อที่รุนแรงมากขึ้น วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในแท่งที่สองอาจเป็นสัญญาณยืนยันที่แข็งแกร่งของการดำเนินต่อของแนวโน้มขาขึ้น สังเกตแท่งเทียนที่ตามมา: แท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลัง Rising Window มีความสำคัญในการยืนยันแนวโน้มขาขึ้น ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น: เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (RSI) เพื่อยืนยันสัญญาณ ข้อควรระวังในการใช้ Rising Window [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]

Piercing Line คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

45 Piercing Line

Piercing Line คืออะไร? Piercing Line เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้: ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งติดต่อกัน เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง แท่งแรกเป็นแท่งเทียนสีดำ (bearish) ขนาดใหญ่ แท่งที่สองเป็นแท่งเทียนสีขาว (bullish) ที่เปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งแรก แท่งที่สองปิดสูงกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งแรก แต่ไม่สูงกว่าจุดเปิดของแท่งแรก Piercing Line ถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น (bullish reversal pattern) โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลงหรือที่ระดับแนวรับสำคัญ วิธีใช้ Piercing Line ในการวิเคราะห์ พิจารณาบริบท: Piercing Line มีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน หรือที่ระดับแนวรับสำคัญ ตรวจสอบลักษณะของแท่งเทียน: แท่งแรกต้องเป็นแท่งสีดำขนาดใหญ่ แท่งที่สองต้องเป็นแท่งสีขาวที่เปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งแรก แท่งที่สองต้องปิดสูงกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งแรก แต่ไม่สูงกว่าจุดเปิดของแท่งแรก วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในแท่งที่สองอาจเป็นสัญญาณยืนยันที่แข็งแกร่ง สังเกตแท่งเทียนที่ตามมา: แท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลัง Piercing Line มีความสำคัญในการยืนยันการกลับตัว ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น: เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (RSI) เพื่อยืนยันสัญญาณ ข้อควรระวังในการใช้ Piercing Line [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]