หนังสือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) PDF ของสุรชัย ไชยรังสินันท์

IUX Markets Bonus

Contents

หนังสือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค โดย อ. สุรชัย  ไชยรังสินันท์

 

Technical Analysis

 

หนังสือสำหรับใช้ในการวิเคราะห์ Forex แจกฟรีเวอร์ชั่น PDF ที่นักเทรดสายเทคนิคทุกคนเคยอ่าน หนังสือ Forex ของ อาจารย์ สุรชัย ไชยรังสินันท์ที่เหมาะสำหรับมือเก่าและมือใหม่สามารถหา Download ได้ในเว็บของเราเพื่อศึกษา Forex ในเบื้องต้น

สารบัญ

  • บทที่ 1 โหมโรง
  • บทที่ 2 หลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับการสร้างกราฟ
  • บทที่ 3 รูปแบบการเปลี่ยนแนวโน้ม
  • บทที่ 4 รูปแบบต่อเนื่อง
  • บทที่ 5 แผนภาพ
  • บทที่ 6 ระบบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
  • บทที่ 7 เครื่องชี้ที่เกี่ยวข้องกับราคา
  • บทที่ 8 ดัชนีวัดความแกว่งในปริมาณการซื้อขาย
  • บทที่ 9 เครื่องชี้ภาวะตลาด
  • บทที่ 10 ตัวเลขของฟิโบนาวี่และการประยุกต์ใช้
  • บทที่ 11 ทฤษฎีคลื่นของอีเลียต
  • บทที่ 12 ทฤษฏีแกนน์
  • บทที่ 13 ทฤษฏีคลื่นวัฏจักร
  • บทที่ 14 การวิเคราะห์แผนภูมิแบบแท่งเทียนเบื้องต้น
  • บทที่ 15 รูปแบบการเปลี่ยนทิศทางของการวิเคราะห์แบบแท่งเทียน
  • บทที่ 16 รูปแบบต่อเนื่องในการวิเคราะห์แท่งเทียน
  • บทที่ 17 กระบวนยุทธ์
 

 

 

สรุปเนื้อหารายบท

HFM Market Promotion

ต่อไปเป็นการสรุปเนื้อหาหนังสือรายบท เบื้องต้นครับ 

บทที่ 1 โหมโรง

  • หนังสือนี้อธิบายเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคในตลาดการเงิน โดยเฉพาะตลาดหุ้น
  • การวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายเป็นหลัก เพื่อคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต
  • แนวคิดพื้นฐานคือ พฤติกรรมราคาในอดีตมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต
  • ทฤษฎีดาว (Dow Theory) เป็นทฤษฎีสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค อธิบายเกี่ยวกับแนวโน้มตลาด
  • เครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ แนวโน้ม (Trend), รูปแบบกราฟ (Chart Patterns), ตัวชี้วัดต่างๆ (Indicators)
  • ข้อดีของการวิเคราะห์ทางเทคนิค: ยืดหยุ่นสูง, ใช้เวลาน้อยกว่าการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน, ให้จังหวะในการเข้า-ออกตลาด
  • ข้อเสีย: อาจขาดความลึกซึ้งในการวิเคราะห์, ไม่สามารถทำนายราคาได้แม่นยำ 100%

 

บทที่ 2 หลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับการสร้างกราฟ

  1. การสร้าง Chart:
  • Chart ประกอบด้วยแท่งเทียน (Bar) ที่แสดงข้อมูลราคาในแต่ละช่วงเวลา
  • แต่ละแท่งแสดงราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุด
  • การเรียงแท่งตามลำดับเวลาทำให้เกิดเป็น Bar Chart
  1. รูปแบบของแนวโน้ม (Trend):
  • Uptrend: แนวโน้มขาขึ้น ยอดสูงสุดและต่ำสุดใหม่สูงกว่าเดิม
  • Downtrend: แนวโน้มขาลง ยอดสูงสุดและต่ำสุดใหม่ต่ำกว่าเดิม
  • Sideways: การเคลื่อนไหวแนวราบ ไม่มีทิศทางชัดเจน
  1. เส้นแนวโน้ม (Trendline):
  • Uptrend Line: ลากเส้นเชื่อมจุดต่ำสุด
  • Downtrend Line: ลากเส้นเชื่อมจุดสูงสุด
  • ใช้ดูการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
  1. การปรับตัว (Retracement):
  • ราคามักมีการปรับตัวกลับในระหว่างแนวโน้มหลัก
  • ระดับ Retracement ที่สำคัญคือ 38.2%, 50%, 61.8%
  1. แนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance):
  • แนวรับ: ระดับราคาที่มีแรงซื้อเข้ามาหนุน
  • แนวต้าน: ระดับราคาที่มีแรงขายออกมากดดัน
  • แนวรับ/ต้านสามารถสลับบทบาทกันได้
  1. ช่วงเวลาในการวิเคราะห์:
  • ระยะยาว: ประมาณ 1 ปีขึ้นไป
  • ระยะกลาง: ประมาณ 1-6 เดือน
  • ระยะสั้น: ประมาณ 1 สัปดาห์ถึง 1 เดือน

บทที่ 3 รูปแบบการเปลี่ยนแนวโน้ม

  1. Head & Shoulders:
  • เป็นรูปแบบการเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง
  • ประกอบด้วยไหล่ซ้าย หัว และไหล่ขวา
  • เส้น Neckline เป็นแนวรับสำคัญ
  • ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลงเมื่อเกิดไหล่ขวา
  1. Triple Tops และ Triple Bottoms:
  • Triple Tops: เปลี่ยนจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง
  • Triple Bottoms: เปลี่ยนจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น
  • ราคาทดสอบแนวต้านหรือแนวรับ 3 ครั้ง
  • ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลงในจุดสูงสุดหรือต่ำสุดที่ 2 และ 3
  1. Double Tops และ Double Bottoms:
  • คล้ายกับ Triple Tops/Bottoms แต่ทดสอบแนวต้าน/รับเพียง 2 ครั้ง
  • Double Tops: เปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง
  • Double Bottoms: เปลี่ยนจากขาลงเป็นขาขึ้น
  • การยืนยันเกิดขึ้นเมื่อราคาหลุด Base line หรือ Neckline
  1. Saucer:
  • มีลักษณะคล้ายถ้วยกาแฟ
  • Saucer แบบคว่ำ: เปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง
  • Saucer แบบหงาย: เปลี่ยนจากขาลงเป็นขาขึ้น
  • มักใช้เวลาในการก่อตัวค่อนข้างนาน
  1. V-Shape:
  • เกิดการเปลี่ยนแนวโน้มอย่างรวดเร็ว
  • มีทั้งแบบหัวกลับ (ขาขึ้นเป็นขาลง) และแบบฟื้นตัว (ขาลงเป็นขาขึ้น)
  • มักเกิดจากข่าวสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างฉับพลัน

 

บทที่ 4 รูปแบบต่อเนื่อง

  1. รูปแบบการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง:
  • Triangles: Symmetrical, Ascending, Descending
  • Broadening Formation
  • Flags และ Pennants
  • Wedge
  • Rectangle
  • Inverted Head & Shoulders
  1. ช่องว่างราคา (Gaps):
  • Common Gap: ไม่มีความสำคัญมาก
  • Breakaway Gap: เกิดหลังจากการก่อตัวของรูปแบบเสร็จสมบูรณ์
  • Runaway Gap: เกิดในช่วงกลางของการเคลื่อนไหว
  • Exhaustion Gap: เกิดในช่วงท้ายของการเคลื่อนไหว
  1. ข้อสังเกตสำคัญ:
  • รูปแบบเหล่านี้ช่วยในการคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา
  • ควรพิจารณาปริมาณการซื้อขายประกอบด้วยเสมอ
  • Gaps สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านได้
  • การปิด Gap อาจมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทาง
  1. การนำไปใช้:
  • ใช้รูปแบบเหล่านี้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ
  • ระมัดระวังในการแปลความหมายของ Gaps เพราะแต่ละประเภทมีนัยยะต่างกัน
  • ฝึกฝนการอ่านกราฟและรูปแบบต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ

บทที่ 5 แผนภาพ

Point and Figure Chart ดังนี้:

  1. ลักษณะเฉพาะของ Point and Figure Chart:
  • ใช้สัญลักษณ์ X และ O แทนการเคลื่อนไหวของราคา
  • ไม่แสดงเวลาหรือปริมาณการซื้อขาย
  • เน้นการเปลี่ยนแปลงราคาที่มีนัยสำคัญเท่านั้น
  1. การสร้าง Point and Figure Chart:
  • กำหนดขนาดของช่อง (box size)
  • ใช้กฎ 3-box reversal ในการเปลี่ยนทิศทาง
  • บันทึก X เมื่อราคาขึ้น และ O เมื่อราคาลง
  1. สัญญาณซื้อขาย:
  • สัญญาณซื้อ: เมื่อราคาทะลุยอดเดิมขึ้นไป
  • สัญญาณขาย: เมื่อราคาหลุดแนวรับลงมา
  1. เส้นแนวโน้ม (Trend Line):
  • Bullish support line: ลากจากด้านล่างขึ้นไปทางขวา
  • Bearish resistance line: ลากจากด้านบนลงมาทางขวา
  1. การกำหนดเป้าหมายราคา:
  • Horizontal count: ใช้ความกว้างของการรวมตัวในการคำนวณ
  • Vertical count: ใช้จำนวนช่องในการเปลี่ยนทิศทางครั้งแรก
  1. ข้อดีของ Point and Figure Chart:
  • ลดสัญญาณรบกวน (noise) ในการเคลื่อนไหวของราคา
  • เห็นแนวโน้มและจุดกลับตัวได้ชัดเจน
  • สามารถใช้ในการกำหนดเป้าหมายราคาได้
  1. ข้อควรระวัง:
  • ไม่แสดงเวลาและปริมาณการซื้อขาย ซึ่งอาจเป็นข้อมูลสำคัญ
  • อาจให้สัญญาณช้ากว่าแผนภูมิแบบอื่น

บทที่ 6 ระบบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

  1. ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average):
  2. Price Oscillator: ใช้ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น
  3. MACD (Moving Average Convergence Divergence): ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในการคำนวณ
  4. Bollinger Bands: ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ร่วมกับค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
  5. Parabolic SAR (Stop and Reverse):
    • เป็นระบบที่ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบพิเศษ
    • คำนวณโดยใช้ Acceleration Factor (AF) ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเกิดจุดสูงสุด/ต่ำสุดใหม่
    • ใช้เป็นจุดกลับตัวของแนวโน้มและให้สัญญาณซื้อขาย
    • ในแนวโน้มขาขึ้น SAR เป็นแนวรับ ในแนวโน้มขาลง SAR เป็นแนวต้าน
    • สัญญาณซื้อขายเกิดเมื่อราคาตัดผ่านเส้น SAR
    • ช่วยกำหนดจุดตัดขาดทุนที่ปรับตัวได้ตามราคา

บทที่ 7 เครื่องชี้ที่เกี่ยวข้องกับราคา

  1. เอกสารอธิบายเกี่ยวกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคหลายชนิดที่ใช้ในการวิเคราะห์ราคาหุ้น โดยเน้นที่ Oscillators ต่างๆ
  2. Momentum และ Rate of Change:
    • วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาปัจจุบันเทียบกับราคาในอดีต
    • ใช้บ่งชี้ความเร็วของการเคลื่อนไหวของราคา
  3. Relative Strength Index (RSI):
    • พัฒนาโดย J. Welles Wilder เพื่อแก้ปัญหาของ Momentum
    • มีค่าอยู่ระหว่าง 0-100
    • ใช้บ่งชี้สภาวะ Overbought และ Oversold
  4. Stochastic:
    • พัฒนาโดย George Lane
    • ใช้วัดตำแหน่งของราคาปิดเทียบกับช่วงราคาสูงสุด-ต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง
  5. William's %R:
    • คล้ายกับ Stochastic แต่มีสเกลกลับหัว (0-100 เป็น 0 ถึง -100)
  6. KST Index:
    • พัฒนาโดย Martin J. Pring
    • รวม Rate of Change หลายช่วงเวลาเข้าด้วยกัน
  7. Directional Movement System (DMS):
    • ประกอบด้วย +DI, -DI และ ADX
    • ใช้วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มตลาด
  8. การใช้งาน Oscillators:
    • มักใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น เส้นแนวโน้ม
    • ใช้ดู Divergence ระหว่าง Oscillator กับราคา
    • ใช้หาจุดซื้อขายเมื่อ Oscillator เข้าสู่เขต Overbought/Oversold
  9. ข้อควรระวัง:
    • Oscillators อาจให้สัญญาณผิดพลาดได้ในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน
    • ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์แนวโน้มและปัจจัยอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจ

บทที่ 8 ดัชนีวัดความแกว่งในปริมาณการซื้อขาย

การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ได้ดังนี้:

  1. การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายช่วยวัดความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของหุ้นภายใต้การเคลื่อนไหวของราคา
  2. ปริมาณการซื้อขายมักเป็นตัวยืนยันแนวโน้มของราคา:
    • ราคาขึ้นพร้อมปริมาณสูง = ยืนยัน Uptrend
    • ราคาลงพร้อมปริมาณสูง = ยืนยัน Downtrend
    • ปริมาณต่ำในช่วง Consolidation หรือ Sideways
  3. เครื่องมือวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายที่สำคัญ:
    • On Balance Volume (OBV): วัดการสะสมและการกระจายหุ้น โดยดูความสัมพันธ์ระหว่างราคาปิดกับปริมาณ
    • Chaikin Accumulation/Distribution: พัฒนาต่อจาก OBV โดยใช้ตำแหน่งราคาปิดเทียบกับช่วงราคาสูงสุด-ต่ำสุด
    • Price & Volume Trend (PVT): คล้าย OBV แต่ใช้เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงราคาเป็นตัวถ่วงน้ำหนัก
    • Volume Oscillator: แสดงความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นและระยะยาวของปริมาณ
    • Volume Rate of Change: วัดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา
  4. การใช้งานทั่วไป:
    • มองหาการ Divergence ระหว่างราคากับตัวชี้วัดปริมาณ
    • ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ราคาเพื่อยืนยันสัญญาณ
    • ช่วยบ่งชี้จุดกลับตัวของแนวโน้ม
  5. ข้อควรระวัง:
    • ปริมาณการซื้อขายอาจถูกบิดเบือนได้ยากกว่าราคา
    • ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจ

บทที่ 9 เครื่องชี้ภาวะตลาด

เครื่องชี้วัดภาวะตลาดโดยรวมได้ดังนี้:

  1. Advance/Decline Line (AD Line)
  • วัดความกว้างของตลาดโดยดูจำนวนหุ้นที่ราคาขึ้นเทียบกับหุ้นที่ราคาลง
  • ใช้ดู Divergence กับดัชนีตลาด เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
  1. Overbought/Oversold Index (OBOS)
  • ปรับปรุงจาก AD Line โดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
  • บ่งชี้ภาวะตลาดที่ร้อนแรงหรือซบเซาเกินไป
  1. McClellan Oscillator (MO)
  • คำนวณจากผลต่างของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นและยาวของ AD Line
  • ให้สัญญาณเร็วกว่า AD Line ปกติ
  1. TRIN (ARM's Index)
  • ใช้ข้อมูลจำนวนและปริมาณการซื้อขายของหุ้นที่ขึ้นและลง
  • ค่ามากกว่า 1 บ่งชี้ตลาดไม่ดี น้อยกว่า 1 บ่งชี้ตลาดดี
  1. Market Thrust และ Thrust Oscillator
  • ปรับปรุงจาก TRIN เพื่อแก้ปัญหาความคลาดเคลื่อนในการคำนวณ
  • ให้สัญญาณที่แม่นยำกว่า TRIN

การใช้งานทั่วไป:

  • ดู Divergence กับดัชนีตลาด
  • หาจุดซื้อขายจากการตัดเส้นค่าเฉลี่ยหรือเส้นแนวโน้ม
  • ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ

ข้อควรระวัง:

  • ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจ
  • บางเครื่องมืออาจต้องปรับค่าให้เหมาะสมกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลง

 

บทที่ 10 ตัวเลขของฟิโบนาวี่และการประยุกต์ใช้

ตัวเลขฟีโบนาชชี (Fibonacci Numbers) และการนำมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของตลาดหุ้น โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:

  1. ประวัติและความเป็นมาของตัวเลขฟีโบนาชชี
  2. คุณสมบัติพิเศษของลำดับตัวเลขฟีโบนาชชี
  3. อัตราส่วนทองคำ (Golden Ratio) ที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขฟีโบนาชชี
  4. การพบอัตราส่วนทองคำในธรรมชาติและสถาปัตยกรรม
  5. การนำตัวเลขฟีโบนาชชีมาใช้ในการวิเคราะห์ตลาดหุ้น
  6. การคำนวณเป้าหมายราคาโดยใช้ Fibonacci Retracement และ Extension
  7. ตัวอย่างการใช้งานจริงกับหุ้น BBL
  8. ข้อควรระวังในการใช้เครื่องมือ Fibonacci

บทที่ 11 ทฤษฎีคลื่นของอีเลียต

สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับทฤษฎีคลื่นของ Elliott ดังนี้:

  1. ทฤษฎีคลื่นของ Elliott เป็นการศึกษาพฤติกรรมการลงทุนของมวลชน โดยใช้หลักคณิตศาสตร์และแผนภาพราคา
  2. รูปแบบพื้นฐานของคลื่น Elliott ประกอบด้วยคลื่นกระตุ้น 5 ลูก และคลื่นปรับตัว 3 ลูก
  3. คลื่นกระตุ้นเคลื่อนไหวตามทิศทางแนวโน้มหลัก ส่วนคลื่นปรับตัวเคลื่อนไหวสวนทางกับแนวโน้มหลัก
  4. รูปแบบคลื่นปรับตัวมีหลายแบบ เช่น Zigzag, Flat, Triangle เป็นต้น
  5. ทฤษฎีนี้ใช้ตัวเลข Fibonacci ในการกำหนดเป้าหมายราคาและเวลา
  6. การนับคลื่น (wave count) มีกฎเกณฑ์เฉพาะเพื่อระบุตำแหน่งของคลื่นในตลาด
  7. นักวิเคราะห์ใช้ทฤษฎีนี้เพื่อคาดการณ์ทิศทางตลาดและจุดกลับตัวของราคา
  8. อย่างไรก็ตาม การใช้งานในทางปฏิบัติอาจมีความซับซ้อนและต้องอาศัยประสบการณ์

บทที่ 12 ทฤษฏีแกนน์

สรุปสาระสำคัญของทฤษฎี Gann ดังนี้:

  1. Gann เชื่อว่าการเคลื่อนไหวของราคาสามารถคาดการณ์ได้ โดยใช้หลักการทางคณิตศาสตร์และเรขาคณิต
  2. แนวคิดหลักของ Gann ประกอบด้วย:
    • Cardinal Square: ใช้หาแนวรับแนวต้านในอนาคต
    • เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทิศทาง: ใช้คาดการณ์จุดกลับตัวของราคา
    • Geometric Angles: ใช้มุมต่างๆ ในการวิเคราะห์แนวโน้มราคา
  3. Gann's 50% retracement rule: เชื่อว่าราคามักจะปรับตัวที่ระดับ 50% ของการเคลื่อนไหวก่อนหน้า
  4. การผสมผสาน percentage retracement กับ geometric angle line เพื่อหาจุดสำคัญในการซื้อขาย
  5. การใช้ Gann angles ร่วมกับ retracement levels เพื่อหาแนวรับแนวต้านที่มีนัยสำคัญ
  6. ทฤษฎีของ Gann ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างราคาและเวลา
  7. แม้จะมีหลักการที่น่าสนใจ แต่ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน

บทที่ 13 ทฤษฏีคลื่นวัฏจักร

วิเคราะห์วัฏจักรในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:

  1. วัฏจักรในตลาดการเงินเกิดจากการรวมตัวของคลื่นวัฏจักรหลายๆ คลื่นที่มีความยาวคลื่นต่างกัน
  2. การวัดวัฏจักรสามารถทำได้หลายวิธี เช่น วิธีทางสถิติ และการวัดด้วยสายตาประกอบการคำนวณอย่างง่าย
  3. ความยาวของวัฏจักรควรน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของข้อมูลทั้งหมดที่มี เพื่อให้สามารถวัดได้อย่างมีนัยสำคัญ
  4. การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) สามารถช่วยกรองความผันผวนระยะสั้นออกไปได้
  5. Momentum เป็นตัวชี้วัดที่มักเคลื่อนไหวเร็วกว่าราคา และสามารถเตือนถึงการเปลี่ยนแนวโน้มได้ก่อนราคาจะเปลี่ยนจริง
  6. RSI และ Stochastic เป็นเครื่องมือที่ใช้หลักการคล้ายกัน โดยระยะเวลาที่เหมาะสมในการคำนวณคือประมาณครึ่งรอบวัฏจักร
  7. การปรับระยะเวลาในการคำนวณเครื่องมือต่างๆ ให้เหมาะสมกับวัฏจักรของตลาดเป็นสิ่งสำคัญในการใช้งานให้มีประสิทธิภาพ

 

บทที่ 14 การวิเคราะห์แผนภูมิแบบแท่งเทียนเบื้องต้น

การวิเคราะห์แผนภูมิแบบแท่งเทียนของญี่ปุ่น (Japanese Candlestick Charting) ได้ดังนี้:

  1. เป็นวิธีวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น และกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในประเทศไทย
  2. มีข้อดีคือไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลย้อนหลังยาวนาน เหมาะสำหรับวิเคราะห์แนวโน้มระยะสั้น
  3. องค์ประกอบของแท่งเทียนประกอบด้วย:
    • ส่วนตัวเทียน (Real Body)
    • ไส้เทียน (Shadow)
  4. สีของแท่งเทียนบ่งบอกทิศทางของราคา:
    • สีขาว/สีเขียว แสดงว่าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด (ตลาดเป็นบวก)
    • สีดำ/สีแดง แสดงว่าราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด (ตลาดเป็นลบ)
  5. รูปแบบพิเศษที่สำคัญ:
    • Bozu: แท่งเทียนที่ไม่มีไส้เทียนด้านใดด้านหนึ่ง
    • Doji: แท่งเทียนที่ราคาเปิดและปิดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก
  6. Doji มีความสำคัญมากเพราะมักเกิดขึ้นเมื่อตลาดกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง
  7. มีรูปแบบ Doji หลายแบบ เช่น Dragonfly Doji, Gravestone Doji, Four-Price Doji
  8. การวิเคราะห์แบบแท่งเทียนสามารถใช้ร่วมกับวิธีวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ ได้

บทที่ 15 รูปแบบการเปลี่ยนทิศทางของการวิเคราะห์แบบแท่งเทียน

การวิเคราะห์แผนภูมิแท่งเทียนแบบญี่ปุ่น (Japanese Candlestick Charting) ดังนี้:

  1. เป็นวิธีวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้ข้อมูลไม่มาก เหมาะสำหรับวิเคราะห์แนวโน้มระยะสั้น
  2. รูปแบบการเปลี่ยนทิศทาง (Reversal Pattern) ที่สำคัญ ได้แก่:
  3. รูปแบบเหล่านี้ใช้ลักษณะและความสัมพันธ์ของแท่งเทียน 2-3 แท่งในการบ่งชี้การเปลี่ยนแนวโน้ม
  4. ความน่าเชื่อถือของสัญญาณจะเพิ่มขึ้นเมื่อเกิดร่วมกับรูปแบบอื่นๆ หรือเกิดในจุดสำคัญของแนวโน้ม
  5. การวิเคราะห์ควรพิจารณาปริมาณการซื้อขาย (Volume) ร่วมด้วยเพื่อยืนยันสัญญาณ
  6. รูปแบบเหล่านี้สามารถเทียบเคียงได้กับรูปแบบการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบตะวันตก
  7. การเข้าใจแนวคิดและหลักการของรูปแบบต่างๆ จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องท่องจำ
  8. การใช้การวิเคราะห์แบบแท่งเทียนร่วมกับเทคนิคการวิเคราะห์อื่นๆ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์

บทที่ 16 รูปแบบต่อเนื่องในการวิเคราะห์แท่งเทียน

สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับรูปแบบต่อเนื่อง (Continuous Patterns) ในการวิเคราะห์แผนภูมิแท่งเทียนได้ดังนี้:

  1. Gap (หน้าต่าง) มีความสำคัญในการวิเคราะห์ โดยเฉพาะเมื่อถูกปิด (filled) และอาจกลายเป็นแนวรับหรือแนวต้านของราคา
  2. Tasuki Gap เป็นรูปแบบที่บ่งชี้ว่าแนวโน้มยังคงใช้ได้อยู่ มักเป็นเพียงการปรับตัวเล็กน้อย
  3. High-Price และ Low-Price Gapping Plays เป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังจะเคลื่อนไหวต่อในทิศทางเดิม หลังจากพักตัวระยะหนึ่ง
  4. Gapping Side-By-Side White Lines เป็นรูปแบบที่พบได้ไม่บ่อย แต่บ่งชี้ว่าตลาดจะเคลื่อนไหวต่อในทิศทางเดิม
  5. Rising Three และ Falling Three เป็นรูปแบบที่แสดงถึงการพักตัวชั่วคราวก่อนที่ตลาดจะเคลื่อนไหวต่อในทิศทางเดิม
  6. Three Advancing White Soldiers เป็นรูปแบบต่อเนื่องในตลาดขาขึ้น แต่ต้องระวังไม่ให้สับสนกับรูปแบบที่คล้ายกันแต่มีความหมายตรงกันข้าม เช่น Advance Block หรือ Stalled Pattern
  7. Separating Lines เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นเมื่อราคาเปิดของแท่งเทียนสองแท่งที่มีสีต่างกันอยู่ที่ระดับเดียวกัน บ่งชี้ว่าแนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อไป

บทที่ 17 กระบวนยุทธ์

สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการซื้อขายหุ้นได้ดังนี้:

  1. การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคหลายๆ ตัวร่วมกัน เพื่อยืนยันสัญญาณซื้อขาย
  2. การพิจารณาทั้งแนวโน้มระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวประกอบกัน
  3. การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นแนวรับแนวต้าน
  4. การดู divergence ระหว่างราคากับตัวชี้วัดทางเทคนิค
  5. การทยอยเข้าซื้อและขายทำกำไรเป็นระยะ ไม่เน้นการลงทุนแบบทั้งหมดในครั้งเดียว
  6. การตั้ง stop loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง
  7. การใช้ volume ประกอบการวิเคราะห์
  8. การระมัดระวังในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะ overbought หรือ oversold
  9. การพิจารณาปัจจัยพื้นฐานร่วมด้วย ไม่ใช้แค่ปัจจัยทางเทคนิคอย่างเดียว
  10. การฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง
FOREXDUCK Logo

FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง

HFM Promotion