ประวัติความเป็นมาของตลาด Forex

IUX Markets Bonus

ตลาด Forex หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สามารถย้อนกลับไปได้หลายศตวรรษ แม้ว่าตลาด Forex สมัยใหม่จะเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 แต่จุดเริ่มต้นของการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ

จุดกำเนิดของตลาด Forex ที่เป็นทางการนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ 500 ปีที่แล้วในเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ [1] ในยุคนั้น อัมสเตอร์ดัมเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของยุโรป และเป็นที่ตั้งของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราแห่งแรกของโลก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม ช่วงที่นับว่าเป็นยุคใหม่ของตลาด FOREX ก็คือปี 1973 เมื่อสหรัฐอเมริกายกเลิกระบบ Bretton Woods ที่ให้แต่ละประเทศตรึงอัตราแลกเปลี่ยนไว้กับดอลลาร์สหรัฐ [1] เหตุการณ์นี้นำไปสู่การเกิดขึ้นของระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว และเป็นจุดเริ่มต้นของตลาด Forex สมัยใหม่ที่เราเห็นในปัจจุบัน

ประวัติความเป็นมาของตลาด Forex
ประวัติความเป็นมาของตลาด Forex

การพัฒนาของตลาด Forex สามารถแบ่งออกเป็นสามยุคสำคัญ

  1. ยุคมาตรฐานทองคำ
  2. ยุคข้อตกลง Bretton Woods
  3. ยุคระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว

แต่ละยุคมีลักษณะเฉพาะและความสำคัญต่อการพัฒนาของระบบการเงินโลกและตลาด Forex ดังนี้

Contents

1.ยุคมาตรฐานทองคำ (ช่วงศตวรรษที่ 19 – ต้นศตวรรษที่ 20)

ยุคมาตรฐานทองคำเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1819 เมื่ออังกฤษนำระบบมาตรฐานทองคำมาใช้[1] ระบบนี้กำหนดให้ค่าเงินของแต่ละประเทศถูกกำหนดโดยปริมาณทองคำที่รัฐบาลรับรอง ซึ่งส่งผลให้:

  • อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินต่างๆ มีความคงที่
  • เกิดความเชื่อมั่นในระบบการเงินระหว่างประเทศ
  • การค้าระหว่างประเทศมีความสะดวกมากขึ้นเนื่องจากความแน่นอนของอัตราแลกเปลี่ยน
HFM Market Promotion

ในช่วงนี้ การซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราส่วนใหญ่ดำเนินการโดย:

  • ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่
  • บริษัทข้ามชาติที่ทำการค้าระหว่างประเทศ
  • รัฐบาลของประเทศต่างๆ

ระบบมาตรฐานทองคำช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับระบบการเงินโลกเป็นเวลานาน แต่ก็เริ่มเผชิญกับความท้าทายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อหลายประเทศต้องระงับการแลกเปลี่ยนเงินตรากับทองคำเพื่อเพิ่มปริมาณเงินในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายทางทหาร[1] แม้จะมีความพยายามในการฟื้นฟูระบบมาตรฐานทองคำหลังสงคราม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

ลักษณะสำคัญของระบบมาตรฐานทองคำ

  1. การกำหนดค่าเงินด้วยทองคำ: ภายใต้ระบบนี้ ค่าเงินของแต่ละประเทศถูกกำหนดโดยปริมาณทองคำที่รัฐบาลรับรอง เช่น 1 ดอลลาร์สหรัฐอาจเทียบเท่ากับทองคำ 1/20 ออนซ์
  2. การแลกเปลี่ยนเงินตรากับทองคำ: ประชาชนสามารถนำธนบัตรไปแลกเป็นทองคำได้ตามอัตราที่กำหนด ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในค่าเงิน
  3. อัตราแลกเปลี่ยนคงที่: เนื่องจากค่าเงินของแต่ละประเทศถูกกำหนดด้วยทองคำ ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินต่างๆ มีความคงที่
  4. การปรับสมดุลการค้าอัตโนมัติ: หากประเทศมีการนำเข้ามากกว่าส่งออก เงินทองจะไหลออกนอกประเทศ ทำให้ปริมาณเงินในประเทศลดลง ส่งผลให้ราคาสินค้าลดลงและกระตุ้นการส่งออก เกิดการปรับสมดุลโดยอัตโนมัติ

จุดจบของยุคมาตรฐานทองคำ

ระบบมาตรฐานทองคำเริ่มเสื่อมถอยลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อหลายประเทศต้องระงับการแลกเปลี่ยนเงินตรากับทองคำเพื่อเพิ่มปริมาณเงินในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายทางทหาร หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีความพยายามในการฟื้นฟูระบบมาตรฐานทองคำ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

ในที่สุด ระบบมาตรฐานทองคำก็สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อประเทศต่างๆ ต้องการความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นเพื่อรับมือกับสถานการณ์สงคราม

ยุคมาตรฐานทองคำเป็นช่วงเวลาสำคัญที่วางรากฐานให้กับระบบการเงินโลกในยุคต่อมา แม้ว่าระบบนี้จะไม่ได้ใช้งานอีกต่อไป แต่แนวคิดเรื่องการสร้างเสถียรภาพทางการเงินและการกำหนดค่าเงินยังคงมีอิทธิพลต่อการพัฒนานโยบายการเงินและระบบอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน

2.ข้อตกลง Bretton Woods

ยุคข้อตกลงเบรตตันวูดส์เริ่มต้นขึ้นในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อผู้แทนจาก 44 ประเทศมาประชุมร่วมกันที่เมืองเบรตตันวูดส์ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944[1] การประชุมนี้มีวัตถุประสงค์หลักคือ:

  • วางแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกหลังสงคราม
  • สร้างระบบการเงินระหว่างประเทศที่มีเสถียรภาพ

ข้อตกลงเบรตตันวูดส์กำหนดระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่แบบปรับได้ โดยมีสาระสำคัญดังนี้:

  1. สกุลเงินของประเทศสมาชิกถูกกำหนดให้มีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
  2. ดอลลาร์สหรัฐถูกผูกติดกับทองคำในอัตรา 35 ดอลลาร์ต่อทองคำ 1 ออนซ์
  3. อนุญาตให้อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนได้ในกรอบแคบๆ (± 1%)
  4. ประเทศสมาชิกสามารถปรับอัตราแลกเปลี่ยนได้หากเกิดภาวะ “ไม่สมดุลพื้นฐาน” โดยต้องได้รับความเห็นชอบจาก IMF

นอกจากนี้ ข้อตกลงเบรตตันวูดส์ยังนำไปสู่การจัดตั้งสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่:

  • กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF): มีหน้าที่ดูแลระบบอัตราแลกเปลี่ยนและให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาดุลการชำระเงิน
  • ธนาคารโลก (World Bank): มีภารกิจในการให้เงินกู้สำหรับการพัฒนาและฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม

ระบบเบรตตันวูดส์ส่งผลกระทบสำคัญต่อตลาด Forex ดังนี้:

  • สร้างเสถียรภาพให้กับอัตราแลกเปลี่ยนและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
  • ช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ
  • ทำให้ดอลลาร์สหรัฐกลายเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก

อย่างไรก็ตาม ระบบเบรตตันวูดส์เริ่มประสบปัญหาในช่วงปลายทศวรรษ 1960 เนื่องจาก:

  • ปัญหาสภาพคล่องระหว่างประเทศ: เมื่อเศรษฐกิจโลกเติบโตขึ้น ความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐเพิ่มสูงขึ้น แต่ปริมาณทองคำของสหรัฐฯ มีจำกัด
  • การขาดดุลของสหรัฐฯ: สหรัฐฯ เผชิญกับการขาดดุลการชำระเงินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความเชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์ลดลง

ความเป็นมาของข้อตกลง Bretton Woods

ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้นำจาก 44 ประเทศพันธมิตรได้มาประชุมร่วมกันที่เมือง Bretton Woods รัฐ New Hampshire สหรัฐอเมริกา ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944 การประชุมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวางแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกหลังสงคราม และสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศที่มีเสถียรภาพ

ข้อตกลง Bretton Woods
ข้อตกลง Bretton Woods

สาระสำคัญของข้อตกลง Bretton Woods

  1. ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่แบบปรับได้: ประเทศสมาชิกตกลงที่จะกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินตนเองให้คงที่เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยอนุญาตให้มีความผันผวนได้ในกรอบแคบๆ (± 1%)
  2. ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินหลัก: สหรัฐอเมริกาตกลงที่จะผูกค่าเงินดอลลาร์กับทองคำในอัตรา 35 ดอลลาร์ต่อทองคำ 1 ออนซ์ และรับประกันการแลกเปลี่ยนดอลลาร์กับทองคำในอัตรานี้
  3. การจัดตั้งสถาบันการเงินระหว่างประเทศ:
    • กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลระบบอัตราแลกเปลี่ยนและให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาดุลการชำระเงิน
    • ธนาคารโลก (World Bank) ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อให้เงินกู้สำหรับการพัฒนาและฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม
  4. การปรับอัตราแลกเปลี่ยน: ประเทศสมาชิกสามารถปรับอัตราแลกเปลี่ยนได้หากเกิดภาวะ “ไม่สมดุลพื้นฐาน” (fundamental disequilibrium) ในเศรษฐกิจ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจาก IMF

ผลกระทบของข้อตกลง Bretton Woods

  1. เสถียรภาพทางการเงิน: ระบบนี้ช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับอัตราแลกเปลี่ยนและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
  2. การเติบโตทางเศรษฐกิจ: ความมั่นคงทางการเงินช่วยกระตุ้นการลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ
  3. บทบาทนำของสหรัฐอเมริกา: ดอลลาร์สหรัฐกลายเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก ทำให้สหรัฐอเมริกามีบทบาทนำในระบบการเงินโลก
  4. การพัฒนาของตลาดเงินตราต่างประเทศ: แม้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะถูกควบคุม แต่ก็เริ่มมีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของตลาด Forex ในปัจจุบัน

การสิ้นสุดของระบบเบรตตันวูดส์และการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว (ค.ศ. 1971-1973)

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อประธานาธิบดี Richard Nixon ประกาศยกเลิกการแลกเปลี่ยนดอลลาร์กับทองคำในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1971[1] เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้จักในนาม “Nixon Shock” และนำไปสู่การสิ้นสุดของระบบเบรตตันวูดส์ ส่งผลให้:

  • ดอลลาร์สหรัฐกลายเป็นเงินตราที่ไม่มีสิ่งใดค้ำประกัน (fiat currency)
  • ประเทศต่างๆ เริ่มปล่อยให้ค่าเงินลอยตัวตามกลไกตลาด

หลังจากนั้น มีความพยายามในการรักษาระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ผ่านข้อตกลง Smithsonian ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1971 โดย:

  • ประเทศสมาชิก G10 ตกลงที่จะปรับค่าเงินของตนเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
  • ขยายช่วงการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนเป็น ±2.25%

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลง Smithsonian ไม่สามารถแก้ไขปัญหาพื้นฐานของระบบได้ และล่มสลายในปี ค.ศ. 1973 นำไปสู่การเริ่มต้นของระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวอย่างเต็มรูปแบบ[2]

การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาด Forex:

  • อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนมากขึ้น เปิดโอกาสให้เกิดการเก็งกำไรในตลาด
  • ปริมาณการซื้อขายในตลาด Forex เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • เกิดการพัฒนาของเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

ในปี ค.ศ. 1976 การประชุมที่จาเมกาของ IMF ได้ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าประเทศสมาชิกสามารถเลือกระบบอัตราแลกเปลี่ยนได้ตามที่ต้องการ รวมถึงการปล่อยให้ลอยตัว[1] นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในตลาด Forex ที่เราเห็นในปัจจุบัน

ปัญหาและการสิ้นสุดของระบบ Bretton Woods

  1. ปัญหาสภาพคล่องระหว่างประเทศ: เมื่อเศรษฐกิจโลกเติบโตขึ้น ความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐเพิ่มสูงขึ้น แต่ปริมาณทองคำของสหรัฐฯ มีจำกัด
  2. ปัญหาการขาดดุลของสหรัฐฯ: สหรัฐฯ เผชิญกับการขาดดุลการชำระเงินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความเชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์ลดลง
  3. วิกฤตความเชื่อมั่น: ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 เกิดความไม่เชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ จะสามารถรักษาคำมั่นในการแลกเปลี่ยนดอลลาร์กับทองคำได้
  4. การยกเลิกการแลกเปลี่ยนดอลลาร์กับทองคำ: ในวันที่ 15 สิงหาคม 1971 ประธานาธิบดี Richard Nixon ประกาศยกเลิกการแลกเปลี่ยนดอลลาร์กับทองคำ ซึ่งเป็นการสิ้นสุดของระบบ Bretton Woods อย่างเป็นทางการ
การสิ้นสุดของระบบ Bretton Woods
การสิ้นสุดของระบบ Bretton Woods

ผลกระทบต่อตลาด Forex

การสิ้นสุดของระบบ Bretton Woods นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการเงินโลกและเป็นจุดเริ่มต้นของตลาด Forex สมัยใหม่:

  1. อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว: ประเทศต่างๆ เริ่มปล่อยให้ค่าเงินของตนลอยตัวตามกลไกตลาด ทำให้เกิดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น
  2. การเติบโตของการเก็งกำไรค่าเงิน: ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนทำให้เกิดโอกาสในการเก็งกำไร นำไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาด Forex
  3. การพัฒนาของเครื่องมือทางการเงิน: เกิดการพัฒนาของตราสารอนุพันธ์ทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Forwards) และออปชัน (Options)
  4. การเปลี่ยนแปลงในบทบาทของธนาคารกลาง: ธนาคารกลางต้องปรับบทบาทในการดูแลเสถียรภาพของค่าเงินและระบบการเงินในยุคที่อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนมากขึ้น

ข้อตกลง Bretton Woods เป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์การเงินโลกที่วางรากฐานให้กับระบบการเงินระหว่างประเทศในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าระบบนี้จะสิ้นสุดลงในปี 1971 แต่ผลกระทบของมันยังคงมีอิทธิพลต่อโครงสร้างและการทำงานของตลาด Forex ในปัจจุบัน การเข้าใจประวัติศาสตร์นี้จะช่วยให้นักลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาด Forex มีมุมมองที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับพัฒนาการและบทบาทของตลาดในระบบการเงินโลก

3.ยุคระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว

การพัฒนาของเทคโนโลยีและการเข้าถึงตลาด Forex (ค.ศ. 1980 – ปัจจุบัน) ช่วงเวลานี้เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตลาด Forex โดยเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงรูปแบบการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างมาก

ทศวรรษ 1980: การเริ่มต้นของระบบคอมพิวเตอร์ในการซื้อขาย

ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาด Forex[2] โดยมีการพัฒนาที่สำคัญ ดังนี้:

  • ระบบการซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์เริ่มถูกนำมาใช้ในสถาบันการเงินขนาดใหญ่
  • การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการคำนวณและประมวลผลข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยน
  • เกิดการพัฒนาของระบบการส่งคำสั่งซื้อขายแบบอัตโนมัติ

ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงนี้ ได้แก่:

  • เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการทำธุรกรรม
  • ลดต้นทุนในการดำเนินการ
  • เพิ่มความแม่นยำในการคำนวณและลดความผิดพลาดจากมนุษย์

ทศวรรษ 1990: การเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ตและการเข้าถึงของนักลงทุนรายย่อย

ทศวรรษ 1990 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาด Forex เมื่ออินเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลาย[2] ส่งผลให้:

  • โบรกเกอร์ออนไลน์เริ่มให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยผ่านแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย
  • นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงข้อมูลตลาดและทำการซื้อขายได้โดยตรง
  • เกิดการพัฒนาของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐานที่ใช้งานง่ายสำหรับนักลงทุนทั่วไป

ผลกระทบที่สำคัญ ได้แก่:

  • การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายในตลาด Forex อย่างมีนัยสำคัญ
  • การกระจายตัวของผู้เล่นในตลาด จากเดิมที่จำกัดอยู่เฉพาะสถาบันการเงินขนาดใหญ่
  • การเกิดขึ้นของชุมชนนักเทรด Forex ออนไลน์ ที่แบ่งปันความรู้และประสบการณ์

ทศวรรษ 2000: ยุคทองของการซื้อขายออนไลน์

ในช่วงทศวรรษ 2000 ตลาด Forex เติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก[1] โดยมีพัฒนาการสำคัญ ดังนี้:

  • การใช้อัลกอริทึมและระบบการเทรดอัตโนมัติเริ่มแพร่หลาย
  • เกิด Electronic Communication Networks (ECNs) ที่ช่วยให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงสภาพคล่องระหว่างธนาคารได้โดยตรง
  • การพัฒนาของแพลตฟอร์มการเทรดที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น MetaTrader 4

ผลกระทบที่สำคัญ ได้แก่:

  • ปริมาณการซื้อขายในตลาด Forex เพิ่มขึ้นเป็นหลายล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน
  • ส่วนต่างราคาเสนอซื้อและเสนอขาย (Spread) ลดลงอย่างมาก ทำให้ต้นทุนการเทรดต่ำลง
  • เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้นระหว่างผู้ให้บริการแพลตฟอร์มและโบรกเกอร์

ทศวรรษ 2010 – ปัจจุบัน: ยุคของมือถือและ Social Trading

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ตลาด Forex ได้พัฒนาไปอีกขั้น[2] โดยมีลักษณะสำคัญ ดังนี้:

  • การเทรดผ่านโทรศัพท์มือถือและแอปพลิเคชันเติบโตอย่างรวดเร็ว
  • เกิดแพลตฟอร์มการเทรดแบบสังคม (Social Trading) ที่อนุญาตให้นักลงทุนสามารถคัดลอกกลยุทธ์การเทรดของผู้อื่นได้
  • การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ในการวิเคราะห์ตลาดและพัฒนากลยุทธ์การเทรด

ผลกระทบที่สำคัญ ได้แก่:

  • นักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาด Forex ได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอุปกรณ์มือถือ
  • เกิดการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์การเทรดในวงกว้างผ่านแพลตฟอร์ม Social Trading
  • การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น

นอกจากนี้ ในช่วงเวลานี้ยังมีการออกกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นเพื่อคุ้มครองนักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะหลังวิกฤตการเงินโลกในปี 2008[1] เช่น:

  • การจำกัดอัตราทด (Leverage) สำหรับนักลงทุนรายย่อยในหลายประเทศ
  • การเพิ่มความโปร่งใสในการรายงานธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง
  • การกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานของโบรกเกอร์และผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม

ปัจจุบัน ตลาด Forex มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงถึงประมาณ 7.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ ปี 2022)[1] แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมหาศาลจากจุดเริ่มต้นในอดีต การพัฒนาของเทคโนโลยีและการเข้าถึงที่ง่ายขึ้นได้เปลี่ยนโฉมหน้าของตลาด Forex จากที่เคยเป็นตลาดเฉพาะสำหรับสถาบันการเงินขนาดใหญ่ มาเป็นตลาดที่เปิดกว้างสำหรับนักลงทุนทุกระดับทั่วโลก

สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง

  1. ความล้มเหลวของระบบ Bretton Woods: ปัญหาสภาพคล่องและการขาดดุลของสหรัฐฯ ทำให้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป
  2. ความต้องการความยืดหยุ่นทางการเงิน: ประเทศต่างๆ ต้องการอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ
  3. การเติบโตของการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ: ทำให้เกิดความต้องการระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงมากขึ้น

ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง

  1. การยกเลิกการแลกเปลี่ยนดอลลาร์กับทองคำ (1971): ประธานาธิบดี Nixon ประกาศยกเลิกการแลกเปลี่ยนดอลลาร์กับทองคำ ทำให้ดอลลาร์กลายเป็นเงินตราที่ไม่มีสิ่งใดค้ำประกัน (fiat currency)
  2. ข้อตกลง Smithsonian (ธันวาคม 1971): ประเทศสมาชิก G10 ตกลงที่จะปรับค่าเงินของตนเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และขยายช่วงการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนเป็น ±2.25%
  3. การล่มสลายของข้อตกลง Smithsonian (1973): ความพยายามในการรักษาระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ล้มเหลวอีกครั้ง นำไปสู่การปล่อยให้ค่าเงินลอยตัวอย่างเต็มรูปแบบ
  4. การยอมรับระบบลอยตัวโดย IMF (1976): ในการประชุมที่จาเมกา IMF ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าประเทศสมาชิกสามารถเลือกระบบอัตราแลกเปลี่ยนได้ตามที่ต้องการ รวมถึงการปล่อยให้ลอยตัว

ลักษณะสำคัญของระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว

  1. การกำหนดราคาโดยอุปสงค์และอุปทาน: อัตราแลกเปลี่ยนถูกกำหนดโดยกลไกตลาด ไม่ใช่โดยรัฐบาลหรือองค์กรระหว่างประเทศ
  2. ความผันผวนสูงขึ้น: อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนมากขึ้นเมื่อเทียบกับระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่
  3. การแทรกแซงของธนาคารกลาง: แม้จะเป็นระบบลอยตัว แต่ธนาคารกลางยังสามารถแทรกแซงตลาดเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินได้ (managed float)
  4. ความยืดหยุ่นในนโยบายการเงิน: ประเทศต่างๆ มีอิสระมากขึ้นในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ

ผลกระทบต่อตลาด Forex

  1. การเติบโตของตลาด Forex: ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนทำให้เกิดโอกาสในการเก็งกำไรและการป้องกันความเสี่ยง ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายในตลาด Forex เพิ่มขึ้นอย่างมาก
  2. การพัฒนาของเทคโนโลยีการซื้อขาย: เกิดการพัฒนาระบบการซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด
  3. การเกิดขึ้นของตราสารอนุพันธ์: เพื่อจัดการกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เกิดการพัฒนาของตราสารอนุพันธ์ต่างๆ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Forwards) และออปชัน (Options)
  4. การเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์การลงทุนระหว่างประเทศ: นักลงทุนต้องพิจารณาความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้นในการตัดสินใจลงทุน
  5. บทบาทใหม่ของธนาคารกลาง: ธนาคารกลางต้องปรับบทบาทในการดูแลเสถียรภาพของค่าเงินและระบบการเงินในยุคที่อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนมากขึ้น

ความท้าทายของระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว

  1. ความผันผวนสูง: อาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
  2. การเก็งกำไรที่รุนแรง: อาจนำไปสู่วิกฤตค่าเงินในบางกรณี
  3. ความซับซ้อนในการบริหารความเสี่ยง: บริษัทและนักลงทุนต้องใช้เครื่องมือที่ซับซ้อนมากขึ้นในการจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
  4. ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ: ระบบลอยตัวอาจไม่สามารถแก้ไขความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพเสมอไป

การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของตลาด Forex สมัยใหม่ ระบบนี้ได้เปิดโอกาสให้เกิดการซื้อขายเงินตราต่างประเทศในปริมาณมหาศาล และกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินโลก

แม้ว่าจะมีความท้าทายและความเสี่ยง แต่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวก็ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของระบบการเงินโลกในปัจจุบัน

พัฒนาการของตลาด Forex หลังการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบลอยตัว

พัฒนาการของตลาด Forex
พัฒนาการของตลาด Forex
  1. การเติบโตของปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายในตลาด Forex เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จากประมาณ 10-20 พันล้านดอลลาร์ต่อวันในช่วงต้นทศวรรษ 1970 เป็นมากกว่า 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวันในปัจจุบัน
  2. การพัฒนาของเทคโนโลยีการซื้อขาย:
    • ทศวรรษ 1980: เริ่มมีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการซื้อขาย
    • ทศวรรษ 1990: การเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ตทำให้การเข้าถึงตลาด Forex ง่ายขึ้นสำหรับนักลงทุนรายย่อย
    • ทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา: การพัฒนาของแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์และแอปพลิเคชันมือถือ
  3. การเปลี่ยนแปลงของผู้เล่นในตลาด:
    • เดิม: ตลาดถูกครอบงำโดยธนาคารขนาดใหญ่และสถาบันการเงิน
    • ปัจจุบัน: มีความหลากหลายของผู้เล่นมากขึ้น รวมถึงนักลงทุนรายย่อย กองทุนเฮดจ์ และ algorithmic traders
  4. การพัฒนาของผลิตภัณฑ์ทางการเงิน: เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น CFDs (Contracts for Difference) และ ETFs ที่อ้างอิงกับอัตราแลกเปลี่ยน
  5. การเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบ: หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกได้ออกกฎระเบียบใหม่ๆ เพื่อควบคุมตลาด Forex และปกป้องนักลงทุน โดยเฉพาะหลังวิกฤตการเงินโลกในปี 2008

ผลกระทบระยะยาวของระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวต่อเศรษฐกิจโลก

  1. ความยืดหยุ่นในนโยบายการเงิน: ประเทศต่างๆ สามารถใช้นโยบายการเงินเพื่อจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  2. การเชื่อมโยงของตลาดการเงินโลก: ตลาดการเงินทั่วโลกมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้น
  3. การกระจายความเสี่ยง: นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในสกุลเงินและสินทรัพย์ของประเทศต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
  4. ความท้าทายในการบริหารเศรษฐกิจมหภาค: รัฐบาลและธนาคารกลางต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในสภาพแวดล้อมที่มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรี
  5. การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการค้าโลก: อัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ ในตลาดโลก

สรุป

การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์การเงินโลก ที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของตลาด Forex สมัยใหม่ แม้ว่าระบบนี้จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ก็ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินโลกในปัจจุบัน การเข้าใจประวัติศาสตร์และพัฒนาการของระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวจะช่วยให้นักลงทุน นักเศรษฐศาสตร์ และผู้กำหนดนโยบายสามารถเข้าใจกลไกการทำงานของตลาด Forex และเศรษฐกิจโลกได้ดียิ่งขึ้น

ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ เช่น สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDCs) ตลาด Forex ก็จะยังคงมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงต่อไป อย่างไรก็ตาม หลักการพื้นฐานของระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 ยังคงเป็นรากฐานสำคัญของระบบการเงินโลกในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้

อ้างอิง

[1] Wikipedia. (n.d.). Foreign exchange market. Retrieved from https://en.wikipedia.org/wiki/Foreign_exchange_market
[2] World Finance. (n.d.). A short history of Forex: From pits to pixels. Retrieved from https://www.worldfinance.com/markets/a-short-history-of-forex-from-pits-to-pixels

 

FOREXDUCK Logo

FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง

HFM Promotion