Rising Wedge คืออะไร วิธีใช้วิเคราะห์

IUX Markets Bonus

Rising Wedge คืออะไร?

54 Rising Wedge

Rising Wedge เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่มักพบในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้:

  1. เป็นรูปแบบที่มีลักษณะคล้ายลิ่มหรือทรงกรวยที่เอียงขึ้น
  2. ประกอบด้วยเส้นแนวโน้มสองเส้นที่เอียงขึ้นและบีบเข้าหากัน
  3. เส้นแนวโน้มด้านล่างมีความชันมากกว่าเส้นแนวโน้มด้านบน
  4. มักเกิดขึ้นในช่วงแนวโน้มขาขึ้น แต่สามารถเป็นสัญญาณการกลับตัวขาลงได้

ลักษณะสำคัญของ Rising Wedge

  1. รูปแบบราคา: ราคามีการเคลื่อนที่ขึ้นเป็นช่วงๆ โดยมีจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
  2. ความกว้างของรูปแบบ: รูปแบบจะแคบลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากเส้นแนวโน้มทั้งสองเข้าใกล้กัน
  3. ระยะเวลาการเกิดรูปแบบ: สามารถเกิดขึ้นในระยะสั้น (ไม่กี่วัน) หรือระยะยาว (หลายเดือน)
  4. ปริมาณการซื้อขาย: มักจะลดลงเมื่อรูปแบบพัฒนาไป แต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบ

วิธีใช้ Rising Wedge ในการวิเคราะห์

  1. การระบุรูปแบบ:
    • สังเกตการเคลื่อนที่ของราคาที่มีลักษณะเป็นลิ่มเอียงขึ้น
    • ลากเส้นแนวโน้มเชื่อมจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของการเคลื่อนไหวราคา
  2. การยืนยันการทะลุ:
    • รอให้ราคาทะลุเส้นแนวโน้มด้านล่างลงมา
    • การทะลุควรเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
  3. การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย:
    • ปริมาณมักจะลดลงระหว่างการพัฒนารูปแบบ
    • ควรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบ
  4. การคำนวณเป้าหมายราคา:
    • วัดความสูงของจุดเริ่มต้นของ Wedge
    • นำระยะดังกล่าวไปวัดต่อจากจุดที่ราคาทะลุออก เพื่อประมาณเป้าหมายราคาขาลง
  5. การใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น:
    • ใช้ร่วมกับตัวบ่งชี้แนวโน้มหรือ oscillators เพื่อยืนยันสัญญาณ
    • พิจารณาแนวรับแนวต้านสำคัญประกอบการวิเคราะห์

ข้อควรระวังในการใช้ Rising Wedge

  1. การระบุรูปแบบที่ไม่ชัดเจน: บางครั้งรูปแบบอาจไม่สมบูรณ์หรือไม่ชัดเจน ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความผิดพลาด
  2. การทะลุหลอก: ราคาอาจทะลุออกจากรูปแบบแล้วกลับเข้าไปใหม่ ควรรอการยืนยันและใช้ stop loss เสมอ
  3. ความแม่นยำในกรอบเวลาต่างๆ: Rising Wedge อาจมีความน่าเชื่อถือแตกต่างกันในกรอบเวลาที่ต่างกัน ควรพิจารณาใช้หลายกรอบเวลาประกอบกัน
  4. ความสัมพันธ์กับแนวโน้มหลัก: ประสิทธิภาพของสัญญาณอาจแตกต่างกันเมื่อเกิดในแนวโน้มหลักที่ต่างกัน
  5. ปัจจัยภายนอก: ข่าวสารหรือเหตุการณ์สำคัญอาจส่งผลกระทบต่อราคาและทำให้รูปแบบไม่เป็นไปตามคาด

การประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การเทรด

  1. การเข้าขาย: นักเทรดอาจเข้าขายเมื่อราคาทะลุเส้นแนวโน้มด้านล่างของ Rising Wedge ลงมา
  2. การตั้ง Stop Loss: อาจตั้ง stop loss ไว้เหนือจุดสูงสุดล่าสุดของ Wedge หรือเหนือเส้นแนวโน้มด้านบน
  3. การตั้งเป้าหมายกำไร: ใช้การคำนวณเป้าหมายราคาตามที่กล่าวไว้ข้างต้น หรือใช้แนวรับสำคัญเป็นเป้าหมาย
  4. การเทรดระยะสั้น: อาจใช้ Rising Wedge ในการหาจุดกลับตัวระยะสั้นในแนวโน้มขาขึ้น

ความแตกต่างระหว่าง Rising Wedge และ Falling Wedge

  1. ทิศทาง: Rising Wedge มีลักษณะเอียงขึ้น ในขณะที่ Falling Wedge เอียงลง
  2. นัยยะของตลาด: Rising Wedge มักเป็นสัญญาณขาลง ในขณะที่ Falling Wedge มักเป็นสัญญาณขาขึ้น
  3. การทะลุ: Rising Wedge มักรอการทะลุลง ส่วน Falling Wedge รอการทะลุขึ้น
  4. ความชันของเส้นแนวโน้ม: ใน Rising Wedge เส้นแนวโน้มด้านล่างมีความชันมากกว่า ส่วนใน Falling Wedge เส้นแนวโน้มด้านบนมีความชันมากกว่า

สรุป

Rising Wedge เป็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์การกลับตัวของตลาด โดยเฉพาะในช่วงแนวโน้มขาขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ การจัดการความเสี่ยง และการพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของตลาด เพื่อให้การวิเคราะห์และการตัดสินใจลงทุนมีความแม่นยำมากขึ้น

อ้างอิง

  1. Murphy, J. J. (1999). Technical Analysis of the Financial Markets. New York Institute of Finance.
  2. Bulkowski, T. N. (2005). Encyclopedia of Chart Patterns (2nd ed.). John Wiley & Sons.
  3. StockCharts.com. (n.d.). Rising Wedge (Reversal). Retrieved August 10, 2024, from https://school.stockcharts.com/doku.php?id=chart_analysis:chart_patterns:rising_wedge_reversal
FOREXDUCK Logo

FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง

HFM Promotion