หนังสือ mastering elliott wave แปลไทย
หนังสือ Forex Elliot Wave Theory แปลโดยคุณ KiTTy 63 เป็นเวอร์ชั่นที่แจกฟรีฉบับ PDF เหมาะสำหรับคนที่ต้องการใช้ Elliot Wave ในการวิเคราะห์ Forex เบื้องต้น หนังสือเล่มนี้ถือเป็นเล่มที่มีการ Download มากที่สุดในเว็บไซต์ของเรา
สารบัญ
บทนำ
- ความเป็นมาของทฤษฎีคลื่นเอลเลียต
- จุดประสงค์ของหนังสือ
พื้นฐานทฤษฎีคลื่นเอลเลียต
- Monowave และ Polywave
- Impulse Wave และ Corrective Wave
รูปแบบ Impulse Wave
- กฎและเกณฑ์ของ Impulse Wave
- ประเภทของ Impulse Wave
รูปแบบ Corrective Wave
- Flat
- Zigzag
- Triangle
รูปแบบ Complex Correction
- X-wave
- Double และ Triple Corrections
ระดับความซับซอนของคลื่น (Complexity)
- Monowave
- Polywave
- Multiwave
- Macrowave
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต
- Pattern Implications
- Power Ratings
Advanced Progress Label
ความสัมพันธ์ Fibonacci
- Internal Fibonacci Relationships
- External Fibonacci Relationships
เทคนิคการวิเคราะห์เพิ่มเติม
- Channeling
- Missing Wave
- การหาจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมในการนับคลื่น
บทสรุป
สรุปเนื้อหาแต่ละบทของหนังสือ
บทนำ
- ความเป็นมาของทฤษฎีคลื่นเอลเลียต:
- ทฤษฎีนี้มีความซับซ้อนและยากต่อการทำความเข้าใจ
- ผู้เขียนใช้เวลากว่า 2 ปีในการศึกษาและทำความเข้าใจทฤษฎีนี้
- หนังสือที่ใช้เป็นหลักคือ “Mastering Elliott Wave” โดย Glenn Neely with Eric Hall พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 1990
- จุดประสงค์ของหนังสือ:
- พยายามอธิบายทฤษฎีคลื่นเอลเลียตให้เข้าใจง่ายขึ้น
- เนื่องจากความซับซ้อนของทฤษฎี ผู้เขียนจึงเลือกอธิบายอย่างละเอียด
- มุ่งหวังให้ผู้สนใจศึกษาสามารถนำไปใช้และต่อยอดได้
- แหล่งข้อมูล:
- ข้อมูลทั้งหมดอ้างอิงจากหนังสือ “Mastering Elliott Wave”
- หนังสือดังกล่าวหาได้ยากในร้านหนังสือ แต่สามารถหาอ่านได้ฟรีทางอินเทอร์เน็ต
- ความสำคัญของการศึกษาทฤษฎี:
- แม้จะไม่สามารถเข้าใจทฤษฎีได้ทั้งหมด แต่การศึกษาก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลย
- ทฤษฎีนี้มีประโยชน์ในการวิเคราะห์รูปแบบราคาในตลาดการเงิน
- โครงสร้างของเนื้อหา:
- หนังสือจะอธิบายตั้งแต่พื้นฐานของทฤษฎีคลื่นเอลเลียต
- จะมีการอธิบายรูปแบบต่างๆ ของคลื่น เช่น Impulse Wave และ Corrective Wave
- มีการกล่าวถึงการประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการวิเคราะห์ตลาด
- ความเป็นมาของทฤษฎีคลื่นเอลเลียต:
บทที่ 2 พื้นฐานทฤษฎีคลื่นเอลเลียต
บทที่ 2 เป็นการอธิบายพื้นฐานของทฤษฎีคลื่นเอลเลียต สามารถสรุปได้ดังนี้:
- แนวคิดพื้นฐานของคลื่น:
- รูปแบบราคาที่เกิดขึ้นติดต่อกันมาแสดงเป็นรูปแบบคลื่นขึ้นลงต่อเนื่องกันไปไม่จบสิ้น
- ทฤษฎีคลื่นเอลเลียตแบ่งคลื่นออกเป็น 2 ลักษณะหลัก: Impulsion (คลื่นกระตุ้น) และ Correction (คลื่นปรับตัว)
- Monowave และ Polywave:
- Monowave: คลื่นเดี่ยวที่เป็นหน่วยพื้นฐานที่สุด
- Polywave: คลื่นที่ประกอบด้วย Monowave หลายคลื่น
- Impulsion Wave (คลื่นกระตุ้น):
- ประกอบด้วย 5 คลื่นหลักเสมอ
- มีทั้งรูปแบบขาขึ้นและขาลง
- Corrective Wave (คลื่นปรับตัว):
- มี 3 คลื่นหลัก ยกเว้น Triangle ที่มี 5 คลื่น
- เป็นการปรับตัวเพื่อลดความร้อนแรงของ Impulsion Wave ก่อนหน้า
- กฎเกณฑ์ของ Impulsion Wave:
- Rule of Alternation: คลื่นที่ 2 และ 4 ต้องมีรูปแบบที่แตกต่างกัน
- Extension Rules: ต้องมีคลื่นยืดตัวอย่างน้อยหนึ่งคลื่นใน 1, 3, หรือ 5
- Rule of Equality: คลื่นที่ไม่ใช่คลื่นยืดตัวมักจะมีสัดส่วนเท่ากันหรือเป็นสัดส่วน 61.8%
- Overlap Rule: ใช้แยกแยะรูปแบบของ Impulsion
- ความสำคัญของการเข้าใจรูปแบบ:
- การแยกแยะระหว่าง Impulsion และ Correction มีความสำคัญในการวิเคราะห์
- หากไม่แน่ใจว่าเป็นรูปแบบใด ให้สันนิษฐานว่าเป็น Correction ไว้ก่อน
- การนำไปใช้:
- รูปแบบที่เกิดขึ้นสามารถใช้ในการตั้งสมมติฐานเพื่อคาดการณ์รูปแบบที่จะเกิดขึ้นต่อไป
- แนวคิดพื้นฐานของคลื่น:
บทที่ 3 รูปแบบ Impulse Wave
บทที่ 3 เน้นอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบ Impulse Wave ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของทฤษฎีคลื่นเอลเลียต สรุปได้ดังนี้:
- โครงสร้างพื้นฐานของ Impulse Wave:
- ประกอบด้วย 5 คลื่นหลักเสมอ
- มีทั้งรูปแบบขาขึ้นและขาลง
- กฎและเกณฑ์ของ Impulse Wave: a) Rule of Alternation:
- คลื่นที่ 2 และ 4 ต้องมีรูปแบบที่แตกต่างกัน
- ช่วยในการแยกแยะว่าเป็น Impulse Wave จริงหรือไม่
- โครงสร้างพื้นฐานของ Impulse Wave:
- b) Extension Rules:
- ต้องมีคลื่นยืดตัว (extended wave) อย่างน้อยหนึ่งคลื่นใน 1, 3, หรือ 5
- คลื่นยืดตัวมักจะยาวกว่าคลื่นอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
- c) Rule of Equality:
- คลื่นที่ไม่ใช่คลื่นยืดตัว (1, 3, 5) มักจะมีสัดส่วนเท่ากันหรือเป็นสัดส่วน 61.8%
- ใช้ในการเปรียบเทียบความยาวของคลื่น
- d) Overlap Rule:
- ใช้แยกแยะรูปแบบของ Impulse Wave
- โดยเฉพาะใช้ในการระบุ Terminal Impulse ซึ่งมีความสำคัญในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา
- ประเภทของ Impulse Wave:
- Standard Impulse: รูปแบบทั่วไปที่เป็นไปตามกฎพื้นฐาน
- Extended Impulse: มีคลื่นใดคลื่นหนึ่งที่ยืดตัวอย่างชัดเจน
- Terminal Impulse: มีลักษณะเฉพาะที่คลื่นที่ 4 และ 5 มีการซ้อนทับกัน (overlap)
- ความสำคัญของ Terminal Impulse:
- เมื่อจบรูปแบบนี้ ราคามักจะลงต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 1
- เป็นสัญญาณสำคัญสำหรับการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของตลาด
- การวิเคราะห์ Impulse Wave:
- ต้องพิจารณาทั้งด้านราคาและเวลา
- ความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นย่อยมีความสำคัญในการยืนยันรูปแบบ
- การประยุกต์ใช้:
- การระบุ Impulse Wave ที่ถูกต้องช่วยในการคาดการณ์ทิศทางของตลาดในระยะยาว
- ใช้ในการวางแผนการเทรดและการลงทุน
บทที่ 4 รูปแบบ Corrective Wave
บทที่ 4 อธิบายเกี่ยวกับรูปแบบ Corrective Wave ซึ่งเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญของทฤษฎีคลื่นเอลเลียต สรุปได้ดังนี้:
- ลักษณะทั่วไปของ Corrective Wave:
- มักประกอบด้วย 3 คลื่นหลัก (ยกเว้น Triangle ที่มี 5 คลื่น)
- เป็นการปรับตัวเพื่อลดความร้อนแรงของ Impulsion Wave ก่อนหน้า
- รูปแบบพื้นฐานของ Corrective Wave: a) Flat b) Zigzag c) Triangle
- รูปแบบ Flat:
- ประกอบด้วยคลื่น a-b-c
- กฎพื้นฐาน:
- คลื่น b ต้อง Retrace คลื่น a อย่างน้อย 61.8%
- คลื่น c ต้องยาวอย่างน้อย 38.2% ของคลื่น a
- ประเภทของ Flat:
- Normal Flat: คลื่น b ยาว 81-100% ของคลื่น a
- Weak-b Flat: คลื่น b ยาว 61.8-80% ของคลื่น a
- Strong-b Flat: คลื่น b ยาวกว่าคลื่น a
- Irregular Flat และ Irregular Failure
- Running Flat
- Elongated Flat
- รูปแบบ Zigzag:
- มีโครงสร้าง 5-3-5
- กฎพื้นฐาน:
- คลื่น a ไม่ควร Retrace มากกว่า 61.8% ของ Impulse Wave ก่อนหน้า
- คลื่น b ต้อง Retrace อย่างน้อย 1% ของคลื่น a
- คลื่น c ต้องยาวกว่าคลื่น b เสมอ
- ประเภทของ Zigzag:
- Normal Zigzag
- Elongated Zigzag
- Truncated Zigzag
- รูปแบบ Triangle:
- ประกอบด้วย 5 คลื่นหลัก (a-b-c-d-e)
- แต่ละคลื่นมี 3 คลื่นย่อยภายใน
- ประเภทของ Triangle:
- Contracting Triangle (Limiting และ Non-limiting)
- Expanding Triangle (Limiting และ Non-limiting)
- ความสำคัญของการวิเคราะห์ Corrective Wave:
- ช่วยในการคาดการณ์จุดสิ้นสุดของการปรับฐาน
- บ่งชี้ความแข็งแรงของแนวโน้มหลัก
- การประยุกต์ใช้:
- ใช้ในการระบุจุดเข้าซื้อหรือขายที่เหมาะสม
- ช่วยในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน
- ลักษณะทั่วไปของ Corrective Wave:
บทที่ 5 รูปแบบ Complex Correction
บทที่ 5 อธิบายเกี่ยวกับรูปแบบ Complex Correction ซึ่งเป็นการต่อยอดจากรูปแบบ Corrective Wave พื้นฐาน สรุปได้ดังนี้:
- แนวคิดของ Complex Correction:
- เกิดขึ้นเมื่อการปรับตัวแบบ Standard Correction ยังไม่เพียงพอ
- มักเกิดจากสภาวะตลาดหรือปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อเนื่อง
- X-wave:
- เป็นคลื่นเชื่อมต่อระหว่าง Standard Correction patterns
- มี 3 คลื่นหลัก และเป็นรูปแบบ Standard Correction อย่างใดอย่างหนึ่ง (Flat, Zigzag, หรือ Triangle)
- ลักษณะของ X-wave: a) X-wave ขนาดเล็ก:
- มีขนาดเล็กกว่า 61.8% ของ Standard Correction ก่อนหน้า
- ใช้ในการเชื่อม Complex Correction แบบ Double หรือ Triple patterns
- แนวคิดของ Complex Correction:
- b) X-wave ขนาดใหญ่:
- มีขนาดใหญ่กว่า Standard Correction ก่อนหน้า
- ใช้ในการเชื่อม Complex Correction แบบ Double Three หรือ Triple Three
- รูปแบบ Complex Correction: a) Double Patterns:
- Double Zigzag
- Double Flat
- Double Three (เมื่อใช้ X-wave ขนาดใหญ่)
- b) Triple Patterns:
- Triple Zigzag
- Triple Flat
- Triple Three (เมื่อใช้ X-wave ขนาดใหญ่)
- c) Combination Patterns:
- รูปแบบที่ Standard Correction ตัวสุดท้ายเป็น Triangle
- ข้อสังเกตสำคัญ:
- การปรับตัวใน Complex Correction จะไม่เกิน 3 รอบ (Triple Correction)
- ชื่อของรูปแบบจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับขนาดของ X-wave ที่ใช้เชื่อม
- ความสำคัญในการวิเคราะห์:
- ช่วยในการคาดการณ์ระยะเวลาและขอบเขตของการปรับตัว
- บ่งชี้ถึงความซับซ้อนของตลาดและปัจจัยที่ส่งผลกระทบ
- การประยุกต์ใช้:
- ใช้ในการวางแผนการลงทุนระยะยาว
- ช่วยในการประเมินจุดสิ้นสุดของการปรับฐานที่ซับซ้อน
บทที่ 6 ระดับความซับซอนของคลื่น (Complexity)
บทที่ 6 อธิบายเกี่ยวกับระดับความซับซ้อนของคลื่น (Complexity) ในทฤษฎีคลื่นเอลเลียต สรุปได้ดังนี้:
- แนวคิดเรื่อง Complexity:
- เป็นการแบ่งระดับความซับซ้อนในโครงสร้างของรูปแบบ Impulsion และ Correction
- ช่วยในการวิเคราะห์และเข้าใจลักษณะของคลื่นในระดับที่ลึกซึ้งขึ้น
- ระดับของ Complexity: a) Monowave (Level 0):
- คลื่นพื้นฐานที่สุด ไม่สามารถแบ่งย่อยได้อีก
- แนวคิดเรื่อง Complexity:
- b) Polywave (Level 1):
- รูปแบบพื้นฐานของ Impulsive และ Corrective
- Impulsive มี 5 คลื่น Monowave
- Corrective มี 3 คลื่น Monowave (ยกเว้น Triangle ที่มี 5 คลื่น)
- c) Multiwave (Level 2):
- มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยมีคลื่นย่อยภายในโครงสร้าง
- d) Macrowave (Level 3):
- รูปแบบที่ซับซ้อนที่สุด (ไม่รวม Complex Corrections ที่มี X-wave)
- ลักษณะของ Multiwave: a) Impulsive Multiwave:
- อย่างน้อยหนึ่งใน คลื่น 1, 3, 5 ต้องแบ่งย่อยเป็น 5 คลื่นได้
- คลื่น 2 หรือ 4 ต้องแบ่งย่อยเป็น a-b-c ได้
- คลื่นที่ใช้เวลานานที่สุดควรเกิดก่อนหรือเป็นคลื่นยืดตัวทันที
- b) Corrective Multiwave:
- อย่างน้อยคลื่น a หรือ c ต้องแบ่งย่อยเป็น 5 คลื่นได้
- คลื่น b ควรแบ่งเป็น a-b-c ได้
- ลักษณะของ Macrowave:
- ประกอบด้วยอย่างน้อย 1 Multiwave และ 1 Polywave ในโครงสร้าง
- เป็นรูปแบบที่ซับซ้อนที่สุดในกรณีที่ไม่มี X-wave เข้ามาเกี่ยวข้อง
- ความสำคัญของการเข้าใจ Complexity:
- ช่วยในการวิเคราะห์โครงสร้างของคลื่นได้ละเอียดยิ่งขึ้น
- ทำให้สามารถแยกแยะรูปแบบที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น
- ช่วยในการคาดการณ์พฤติกรรมของตลาดในระยะยาว
- การประยุกต์ใช้:
- ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มระยะยาวของตลาด
- ช่วยในการระบุจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาด
- ใช้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนระยะยาว
บทที่ 7 การประยุกต์ใช้ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต
บทที่ 7 เน้นการอธิบายเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต โดยเฉพาะในเรื่อง Pattern Implications และ Power Ratings สรุปได้ดังนี้:
- Pattern Implications:
- เป็นการบอกนัยยะของรูปแบบที่เกิดขึ้นแล้ว
- ใช้ในการทำนายโอกาสที่จะเกิดรูปแบบต่อไปหรือเป้าหมายราคา
- Power Ratings:
- เป็นการแบ่งกลุ่มรูปแบบราคาที่เกิดขึ้นตามลักษณะเฉพาะ
- ใช้คะแนนเพื่อบ่งบอกโอกาสที่จะเกิด Retracement ของรูปแบบนั้นๆ
- การใช้ Power Ratings:
- ตัวอย่าง: Double Zigzag มี Rating +2, -2 หมายถึงเมื่อจบรูปแบบแล้ว มีโอกาสเกิด Retracement ไม่เกิน 80% ของทั้งรูปแบบ
- รูปแบบที่สำคัญและนัยยะ: a) Triple Zigzag:
- บ่งชี้ถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่ง
- มักเกิดในช่วงสุดท้ายของแนวโน้มหลัก
- Pattern Implications:
- b) Triple Combination:
- แสดงถึงความไม่แน่นอนในตลาด
- อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอย่างรุนแรง
- c) Double Zigzag:
- บ่งชี้ถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่งแต่ไม่มากเท่า Triple Zigzag
- มักเกิดในช่วงกลางของแนวโน้มหลัก
- การวิเคราะห์ Pattern Implications:
- พิจารณาจากรูปแบบที่เกิดขึ้นแล้วเพื่อคาดการณ์รูปแบบต่อไป
- ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ เช่น ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคอื่นๆ
- ข้อควรระวังในการใช้ Power Ratings:
- ไม่ควรใช้เป็นเครื่องมือเดียวในการตัดสินใจลงทุน
- ควรพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่นๆ และสภาพตลาดในปัจจุบัน
- การประยุกต์ใช้:
- ใช้ในการวางแผนการลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว
- ช่วยในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน
- ใช้เป็นเครื่องมือเสริมในการตัดสินใจเข้าหรือออกจากตลาด
- ความสำคัญของการฝึกฝน:
- การใช้ Pattern Implications และ Power Ratings ต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกฝน
- ควรศึกษาและวิเคราะห์กราฟย้อนหลังเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญ
บทที่ 8 Advance Progress label
บทที่ 8 อธิบายเกี่ยวกับ Advanced Progress Label ซึ่งเป็นเทคนิคขั้นสูงในการวิเคราะห์และคาดการณ์คลื่นในทฤษฎีเอลเลียต สรุปได้ดังนี้:
- แนวคิดของ Advanced Progress Label:
- เป็นเทคนิคที่ใช้ในการระบุว่าหลังจากจบคลื่นปัจจุบัน คลื่นต่อไปจะเป็นคลื่นอะไรและควรมีลักษณะอย่างไร
- ช่วยในการคาดการณ์รูปแบบและพฤติกรรมของคลื่นในอนาคต
- ขั้นตอนการใช้ Advanced Progress Label: a) กำหนดคลื่นปัจจุบัน: ระบุว่าขณะนี้อยู่ที่คลื่นไหนในรูปแบบใหญ่ b) วิเคราะห์ความเป็นไปได้: พิจารณาว่าคลื่นต่อไปจะเป็นรูปแบบใดได้บ้าง c) กำหนดลักษณะที่คาดหวัง: ระบุลักษณะที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในคลื่นต่อไป
- ประโยชน์ของ Advanced Progress Label:
- ช่วยในการวางแผนการลงทุนล่วงหน้า
- เพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์จุดกลับตัวของตลาด
- ช่วยในการระบุโอกาสในการเข้าและออกจากตลาด
- ข้อควรระวังในการใช้:
- ต้องมีความเข้าใจพื้นฐานทฤษฎีคลื่นเอลเลียตอย่างดี
- ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ เพื่อยืนยันสมมติฐาน
- อาจเกิดการตีความผิดพลาดได้หากไม่มีประสบการณ์เพียงพอ
- ตัวอย่างการใช้ Advanced Progress Label:
- หากระบุว่าปัจจุบันอยู่ในคลื่นที่ 3 ของ Impulse Wave, คลื่นต่อไปควรเป็นคลื่นที่ 4 ซึ่งเป็น Corrective Wave
- การคาดการณ์ลักษณะของคลื่นที่ 4 ว่าควรเป็น Flat, Zigzag, หรือ Triangle
- การประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ:
- ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มระยะยาว
- ช่วยในการระบุจุดสิ้นสุดของ Complex Corrections
- ใช้ในการคาดการณ์ความรุนแรงของการเคลื่อนไหวในคลื่นต่อไป
- การพัฒนาทักษะ:
- ฝึกฝนการวิเคราะห์กราฟย้อนหลังเพื่อเพิ่มความแม่นยำ
- ศึกษาตัวอย่างการใช้ Advanced Progress Label จากผู้เชี่ยวชาญ
- ทดลองใช้ในสถานการณ์จำลองก่อนนำไปใช้จริง
- การเชื่อมโยงกับเทคนิคอื่นๆ:
- ใช้ร่วมกับ Pattern Implications และ Power Ratings เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
- ผสมผสานกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น Fibonacci Retracements
- แนวคิดของ Advanced Progress Label:
บทนี้นำเสนอเทคนิคขั้นสูงในการวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต โดย Advanced Progress Label เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์พฤติกรรมของตลาดในอนาคตได้แม่นยำยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้เทคนิคนี้ต้องอาศัยความเข้าใจทฤษฎีคลื่นเอลเลียตอย่างลึกซึ้งและประสบการณ์ในการวิเคราะห์ การฝึกฝนและการใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานและลดความเสี่ยงจากการตีความผิดพลาด
บทที่ 9 ความสัมพันธ์ Fibonacci
บทที่ 9 อธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ Fibonacci ในทฤษฎีคลื่นเอลเลียต ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์และคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา สรุปได้ดังนี้:
- แนวคิดพื้นฐานของความสัมพันธ์ Fibonacci:
- ใช้อัตราส่วน Fibonacci ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นต่างๆ
- อัตราส่วนที่สำคัญ ได้แก่ 38.2%, 50%, 61.8%, 100%, 161.8%
- ประเภทของความสัมพันธ์ Fibonacci: a) Internal Fibonacci Relationships b) External Fibonacci Relationships
- Internal Fibonacci Relationships:
- วัดความสัมพันธ์ภายในรูปแบบคลื่นเดียวกัน
- ตัวอย่างการใช้:
- ในรูปแบบ Zigzag: คลื่น C มักมีความยาว 61.8% – 161.8% ของคลื่น A
- ใน Impulse Wave: คลื่นที่ 3 มักยาวกว่าคลื่นที่ 1 ประมาณ 161.8%
- External Fibonacci Relationships:
- วัดความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นต่างรูปแบบหรือต่างระดับ
- วัดจากจุดสิ้นสุดของแต่ละคลื่น
- ความแตกต่างจาก Internal คือจะรวมส่วนที่ซ้อนทับกัน (overlap) ของคลื่นด้วย
- การประยุกต์ใช้ในรูปแบบต่างๆ: a) Impulse Wave:
- คลื่นที่ 2 มักถอยกลับ 50% หรือ 61.8% ของคลื่นที่ 1
- คลื่นที่ 4 มักถอยกลับ 38.2% หรือ 50% ของคลื่นที่ 1-3
- แนวคิดพื้นฐานของความสัมพันธ์ Fibonacci:
- b) Corrective Patterns:
- ใน Flat: คลื่น B มักยาว 61.8% – 100% ของคลื่น A
- ใน Triangle: แต่ละคลื่นมักมีความยาวประมาณ 61.8% ของคลื่นก่อนหน้า
- การใช้ Fibonacci ในการคาดการณ์:
- กำหนดเป้าหมายราคาสำหรับการเคลื่อนไหวในอนาคต
- ระบุจุดกลับตัวที่มีโอกาสเกิดขึ้น
- ประเมินความแข็งแรงของแนวโน้ม
- ข้อควรระวัง:
- ไม่ควรใช้ความสัมพันธ์ Fibonacci เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจ
- ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์รูปแบบคลื่นและปัจจัยอื่นๆ
- อาจมีความคลาดเคลื่อนในบางกรณี ต้องใช้วิจารณญาณประกอบ
- เทคนิคเพิ่มเติม:
- การใช้ Fibonacci Retracements ในการหาจุดเข้าซื้อหรือขาย
- การใช้ Fibonacci Extensions ในการกำหนดเป้าหมายราคา
- การผสมผสาน Fibonacci กับ Time Analysis เพื่อคาดการณ์จุดกลับตัวทั้งด้านราคาและเวลา
- กรณีศึกษา:
- ตัวอย่างการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ Fibonacci ในตลาดจริง
- การแสดงวิธีการใช้ Fibonacci ในการวางแผนการเทรด
บทที่ 10 เทคนิคการวิเคราะห์เพิ่มเติม
บทที่ 10 เป็นการอธิบายเทคนิคการวิเคราะห์เพิ่มเติมในทฤษฎีคลื่นเอลเลียต ซึ่งประกอบด้วยหัวข้อสำคัญดังนี้:
- Channeling:
- เป็นเทคนิคการวาดเส้นแนวโน้มเพื่อกำหนดขอบเขตการเคลื่อนไหวของราคา
- วิธีการวาด Channel:
- สำหรับ Impulse Wave: ลากเส้นเชื่อมจุดสูงสุดของคลื่น 1 และ 3, และเส้นขนานผ่านจุดต่ำสุดของคลื่น 2
- สำหรับ Corrective Wave: ลากเส้นเชื่อมจุดสูงสุดของคลื่น A และ C, และเส้นขนานผ่านจุดต่ำสุดของคลื่น B
- ประโยชน์:
- ช่วยในการคาดการณ์จุดสิ้นสุดของคลื่น
- ระบุจุดแนวรับแนวต้านที่สำคัญ
- Missing Wave:
- แนวคิดที่เสนอโดย Glenn Neely เกี่ยวกับคลื่นที่มีขนาดเล็กมากจนอาจถูกมองข้าม
- สาเหตุ:
- การเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วมาก
- ข้อจำกัดของข้อมูลราคาที่บันทึกได้
- ผลกระทบ:
- อาจทำให้การนับคลื่นผิดพลาด
- ส่งผลต่อการวิเคราะห์และคาดการณ์คลื่นต่อไป
- วิธีการแก้ไข:
- พิจารณาข้อมูลราคาในกรอบเวลาที่เล็กลง
- ใช้การวิเคราะห์แบบองค์รวมร่วมกับปัจจัยอื่นๆ
- การหาจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมในการนับคลื่น:
- ความสำคัญ: การเลือกจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องส่งผลต่อความแม่นยำในการวิเคราะห์ทั้งหมด
- วิธีการ:
- หาจุด Important Low หรือ Important High
- พิจารณาจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอย่างชัดเจน
- เทคนิค:
- ใช้ “จุดดำ” (Mark point) เพื่อสังเกต segment ของ Monowaves
- วิเคราะห์รูปแบบที่เกิดขึ้นว่าเป็น Impulse หรือ Correction
- การประยุกต์ใช้:
- ใช้ความรู้เรื่อง Advanced Progress Label เพื่อคาดการณ์รูปแบบต่อไป
- การวิเคราะห์แบบองค์รวม:
- ผสมผสานเทคนิคต่างๆ เข้าด้วยกัน:
- Channeling
- Fibonacci Relationships
- Pattern Recognition
- Time Analysis
- ประโยชน์:
- เพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์
- ลดความเสี่ยงจากการตีความผิดพลาด
- ผสมผสานเทคนิคต่างๆ เข้าด้วยกัน:
- ข้อควรระวังและข้อแนะนำ:
- ฝึกฝนการวิเคราะห์กราฟย้อนหลังอย่างสม่ำเสมอ
- ตระหนักถึงข้อจำกัดของทฤษฎีและเทคนิคต่างๆ
- ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
- พัฒนาความเข้าใจในพฤติกรรมของตลาดและจิตวิทยาการลงทุน
- Channeling:
บทนี้นำเสนอเทคนิคขั้นสูงและแนวทางการวิเคราะห์เพิ่มเติมสำหรับทฤษฎีคลื่นเอลเลียต โดยเน้นการผสมผสานเทคนิคต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ การเข้าใจและประยุกต์ใช้เทคนิคเหล่านี้อย่างเหมาะสมจะช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์ตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ใช่วิธีการที่สมบูรณ์แบบ และควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจลงทุนเสมอ
บทที่ 11 บทสรุป
FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง