1. Elliott Wave คืออะไร
Elliott Wave Theory เป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ทรงพลังและได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกการเงิน ทฤษฎีนี้ถูกค้นพบโดย Ralph Nelson Elliott ในช่วงทศวรรษ 1930 และได้กลายเป็นวิธีการที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ทั่วโลกใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาดการเงิน
แนวคิดหลักของ Elliott Wave Theory อยู่บนพื้นฐานที่ว่าพฤติกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในกลุ่มใหญ่ มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นซ้ำๆ ในรูปแบบที่คาดเดาได้ Elliott สังเกตเห็นว่ารูปแบบเหล่านี้สะท้อนออกมาในการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดหุ้น โดยเฉพาะในรูปแบบของ “คลื่น”
ทฤษฎีนี้เสนอว่าการเคลื่อนไหวของตลาดเกิดขึ้นในรูปแบบที่เรียกว่า “คลื่น” ซึ่งประกอบด้วยคลื่น 5 ระลอกในทิศทางของแนวโน้มหลัก (เรียกว่า Impulse Wave) ตามด้วยคลื่น 3 ระลอกในทิศทางตรงกันข้าม (เรียกว่า Corrective Wave) รูปแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ในทุกกรอบเวลาการซื้อขาย ตั้งแต่กราฟรายนาทีไปจนถึงกราฟรายปี
Elliott Wave Theory ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการคาดการณ์ทิศทางของตลาดเท่านั้น แต่ยังช่วยให้นักลงทุนและเทรดเดอร์สามารถระบุจุดเข้าซื้อขายที่มีความเสี่ยงต่ำและมีโอกาสทำกำไรสูง รวมถึงช่วยในการกำหนดเป้าหมายราคาและจุด stop loss ได้อย่างแม่นยำ
ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกเข้าไปในรายละเอียดของ Elliott Wave Theory ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา หลักการพื้นฐาน ไปจนถึงวิธีการนำไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์และการซื้อขายในตลาดการเงิน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ ความเข้าใจใน Elliott Wave Theory จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนของคุณได้อย่างมาก
1.1 ประวัติความเป็นมา
Ralph Nelson Elliott ผู้คิดค้นทฤษฎี
Ralph Nelson Elliott (1871-1948) เป็นนักบัญชีและนักวิเคราะห์ทางการเงินชาวอเมริกัน เขาไม่ได้เริ่มต้นอาชีพในวงการการเงินโดยตรง แต่ได้ทำงานในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงการเป็นวิศวกรรถไฟในประเทศเม็กซิโกและการเป็นที่ปรึกษาธุรกิจ
ในช่วงทศวรรษที่ 1920 Elliott ประสบความสำเร็จอย่างมากในอาชีพของเขา แต่ในปี 1929 เขาป่วยด้วยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังซึ่งบังคับให้เขาต้องเกษียณตัวเองก่อนกำหนด ในช่วงเวลาแห่งการพักฟื้นนี้เอง ที่ Elliott ได้หันมาให้ความสนใจกับการศึกษาพฤติกรรมของตลาดหุ้นอย่างจริงจัง
การค้นพบรูปแบบคลื่นในตลาดหุ้น
ในช่วงต้นทศวรรษ 1930 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) Elliott ได้ใช้เวลาหลายปีในการศึกษาข้อมูลราคาย้อนหลังของดัชนี Dow Jones Industrial Average อย่างละเอียด เขาสังเกตเห็นว่าการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดหุ้นไม่ได้เป็นไปอย่างสุ่ม แต่มีรูปแบบที่เกิดซ้ำได้
Elliott พบว่ารูปแบบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์และพฤติกรรมของนักลงทุน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นซ้ำๆ ในลักษณะที่คาดเดาได้ เขาเรียกรูปแบบนี้ว่า “คลื่น” และพบว่ามันเกิดขึ้นในทุกกรอบเวลา ตั้งแต่กราฟรายชั่วโมงไปจนถึงกราฟรายปี
ในปี 1938 Elliott ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ “The Wave Principle” ซึ่งเป็นการนำเสนอทฤษฎีของเขาต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก ในหนังสือเล่มนี้ เขาได้อธิบายถึงรูปแบบคลื่น 13 แบบที่เขาค้นพบ และวิธีการที่คลื่นเหล่านี้เชื่อมโยงกันเพื่อสร้างรูปแบบที่ใหญ่ขึ้น
แม้ว่าในช่วงแรก ทฤษฎีของ Elliott จะไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่ในเวลาต่อมา โดยเฉพาะหลังจากที่ A.J. Frost และ Robert Prechter ได้เผยแพร่หนังสือ “Elliott Wave Principle” ในปี 1978 ทฤษฎีนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่นักวิเคราะห์และนักลงทุนทั่วโลก
การค้นพบของ Elliott ได้เปิดมุมมองใหม่ในการวิเคราะห์ตลาดการเงิน โดยเชื่อมโยงพฤติกรรมของมนุษย์เข้ากับการเคลื่อนไหวของราคา และนำเสนอวิธีการที่เป็นระบบในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด ปัจจุบัน Elliott Wave Theory ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมและมีอิทธิพลมากที่สุดในโลกการเงิน
1.2 แนวคิดหลักของ Elliott Wave
Elliott Wave Theory ตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดสำคัญสองประการ ซึ่งเชื่อมโยงพฤติกรรมมนุษย์เข้ากับการเคลื่อนไหวของตลาดการเงิน:
ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมมนุษย์และการเคลื่อนไหวของตลาด
Ralph Nelson Elliott สังเกตเห็นว่าพฤติกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในกลุ่มใหญ่ มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นซ้ำๆ ในรูปแบบที่คาดเดาได้ เขาเชื่อว่าอารมณ์และจิตวิทยาของนักลงทุนมีผลโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด แนวคิดนี้อธิบายได้ดังนี้:
- จิตวิทยามวลชน: เมื่อนักลงทุนจำนวนมากมีความรู้สึกคล้ายคลึงกัน (เช่น ความโลภหรือความกลัว) พวกเขามักจะตัดสินใจในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้เกิดแนวโน้มในตลาด
- วัฏจักรของอารมณ์: ตลาดมักจะผ่านช่วงของความเชื่อมั่นสูง (ทำให้ราคาสูงขึ้น) สลับกับช่วงของความไม่แน่ใจหรือความกลัว (ทำให้ราคาลดลง) ซ้ำไปซ้ำมา
- การเรียนรู้และการปรับตัว: นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตและปรับพฤติกรรมการลงทุนของตน ซึ่งสร้างรูปแบบที่คาดเดาได้ในระยะยาว
การเคลื่อนไหวของราคาในรูปแบบคลื่น
Elliott พบว่าการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการเงินไม่ได้เป็นไปอย่างสุ่ม แต่เกิดขึ้นในรูปแบบที่เรียกว่า “คลื่น” ซึ่งมีลักษณะดังนี้:
- โครงสร้างพื้นฐาน 5-3: ในแนวโน้มขาขึ้น ราคามักจะเคลื่อนที่ในรูปแบบ 5 คลื่น (เรียกว่า Impulse Wave) ตามด้วยการปรับฐาน 3 คลื่น (เรียกว่า Corrective Wave)
- การซ้อนทับของคลื่น: คลื่นแต่ละลูกประกอบด้วยคลื่นที่เล็กกว่าภายใน และยังเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นที่ใหญ่กว่า สร้างโครงสร้างที่ซับซ้อนแต่มีรูปแบบ
- ความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์: ความยาวและระยะเวลาของคลื่นมักจะมีความสัมพันธ์กันตามอัตราส่วน Fibonacci ซึ่งพบได้บ่อยในธรรมชาติ
- การสะท้อนอารมณ์ตลาด: คลื่นขาขึ้น (1, 3, 5) มักจะสะท้อนช่วงเวลาของความเชื่อมั่นและการเติบโต ในขณะที่คลื่นขาลง (2, 4) และคลื่นแก้ไข (A, B, C) สะท้อนช่วงเวลาของความไม่แน่นอนและการถดถอย
Elliott เชื่อว่าการเข้าใจรูปแบบคลื่นเหล่านี้สามารถช่วยในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดในอนาคตได้ โดยการระบุว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงใดของวัฏจักรคลื่น
2. หลักการพื้นฐานของ Elliott Wave
2.1 โครงสร้างพื้นฐานของคลื่น
Elliott Wave Theory มีโครงสร้างพื้นฐานที่ประกอบด้วยคลื่นสองประเภทหลัก:
- คลื่น 5 ระลอกในแนวโน้มขาขึ้น (Impulse Wave)
- คลื่น 3 ระลอกในแนวโน้มขาลง (Corrective Wave) ซึ่งรวมกันเป็นหนึ่งรอบของ Elliott Wave
คลื่น 5 ระลอกในแนวโน้มขาขึ้น (Impulse Wave)
Impulse Wave เป็นการเคลื่อนไหวหลักที่มีทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลักของตลาด ประกอบด้วยคลื่น 5 ระลอก ดังนี้:
- คลื่น 1: เป็นการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ มักเกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดปรับตัวลงมาระยะหนึ่ง
- คลื่น 2: เป็นการปรับฐานของคลื่น 1 โดยมักจะไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1
- คลื่น 3: มักเป็นคลื่นที่ยาวและแข็งแกร่งที่สุด สะท้อนถึงช่วงที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูง
- คลื่น 4: เป็นการปรับฐานของคลื่น 3 แต่มักจะไม่ลึกเท่าคลื่น 2
- คลื่น 5: เป็นคลื่นสุดท้ายของ Impulse Wave มักจะอ่อนแรงกว่าคลื่น 3 แต่ยังคงมีทิศทางขึ้น
ลักษณะสำคัญของ Impulse Wave:
- คลื่น 2 ไม่สามารถลงต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1
- คลื่น 3 ต้องไม่สั้นที่สุดเมื่อเทียบกับคลื่น 1 และ 5
- คลื่น 4 ไม่ควรซ้อนทับกับราคาของคลื่น 1
คลื่น 3 ระลอกในแนวโน้มขาลง (Corrective Wave)
Corrective Wave เป็นคลื่น Elliott Wave ขาลง เป็นการเคลื่อนไหวที่สวนทางกับแนวโน้มหลัก ประกอบด้วยคลื่น 3 ระลอก ซึ่งมักจะเรียกว่า A-B-C:
- คลื่น A: เป็นการเริ่มต้นของการปรับฐาน มักจะเป็นการเคลื่อนไหวลงอย่างรวดเร็ว
- คลื่น B: เป็นการฟื้นตัวชั่วคราว มักจะไม่สูงเกินจุดสูงสุดของ Impulse Wave ก่อนหน้า
- คลื่น C: เป็นการเคลื่อนไหวลงอีกครั้ง มักจะลึกกว่าคลื่น A
ลักษณะสำคัญของ Corrective Wave:
- มีรูปแบบที่หลากหลายและซับซ้อนกว่า Impulse Wave
- มักจะใช้เวลาน้อยกว่าและมีการเคลื่อนไหวของราคาน้อยกว่า Impulse Wave
- สามารถเกิดในรูปแบบต่างๆ เช่น Zigzag, Flat, หรือ Triangle
การเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานของคลื่นทั้งสองประเภทนี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการวิเคราะห์ตลาดด้วย Elliott Wave Theory เนื่องจากช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงใดของวัฏจักร และคาดการณ์การเคลื่อนไหวในอนาคตได้อย่างมีหลักการ
2.2 ลำดับของคลื่น (Wave Degree)
ในทฤษฎี Elliott Wave คลื่นถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ หรือที่เรียกว่า “Wave Degree” โดยแต่ละระดับมีตัวอักษรกำกับเฉพาะ เรียงลำดับจากใหญ่สุดไปเล็กสุดดังนี้:
- Grand Supercycle – (I), (II), (III), (IV), (V)
- ครอบคลุมช่วงเวลาหลายศตวรรษ
- สะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับโลก
- Supercycle – I, II, III, IV, V
- ครอบคลุมช่วงเวลาหลายทศวรรษถึงศตวรรษ
- สะท้อนวัฏจักรเศรษฐกิจระยะยาวและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
- Cycle – ①, ②, ③, ④, ⑤
- ครอบคลุมช่วงเวลาหลายปีถึงหลายทศวรรษ
- สะท้อนวัฏจักรธุรกิจและแนวโน้มเศรษฐกิจระยะกลาง
- Primary – [1], [2], [3], [4], [5]
- ครอบคลุมช่วงเวลาหลายเดือนถึงหลายปี
- สะท้อนแนวโน้มหลักในตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์
- Intermediate – (1), (2), (3), (4), (5)
- ครอบคลุมช่วงเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
- สะท้อนการเคลื่อนไหวระยะกลางในตลาด
- Minor – 1, 2, 3, 4, 5
- ครอบคลุมช่วงเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์
- สะท้อนการเคลื่อนไหวระยะสั้นในตลาด
- Minute – i, ii, iii, iv, v
- ครอบคลุมช่วงเวลาหลายชั่วโมงถึงหลายวัน
- สะท้อนการเคลื่อนไหวระยะสั้นมากในตลาด
- Minuette – (i), (ii), (iii), (iv), (v)
- ครอบคลุมช่วงเวลาหลายนาทีถึงหลายชั่วโมง
- สะท้อนการเคลื่อนไหวในระยะเวลาสั้นมาก
- Sub-Minuette – [i], [ii], [iii], [iv], [v]
- ครอบคลุมช่วงเวลาไม่กี่นาที
- สะท้อนการเคลื่อนไหวในระยะเวลาสั้นที่สุดที่วิเคราะห์ได้
สำหรับคลื่นแก้ไข (Corrective Waves) ในแต่ละระดับ จะใช้ตัวอักษร A, B, C แทนตัวเลข และใช้เครื่องหมายกำกับเช่นเดียวกับคลื่นขับเคลื่อน (Impulse Waves)
Motive Wave (Impulse):
- คลื่นหลักที่ 1 ((i)), ((ii)), ((iii)), ((iv)), ((v)) – คลื่นย่อย 5 ระลอกภายในคลื่น 1
- คลื่นหลักที่ 2 ((a)), ((b)), ((c)) – คลื่นย่อย 3 ระลอกของการแก้ไขภายในคลื่น 2
- คลื่นหลักที่ 3 ((i)), ((ii)), ((iii)), ((iv)), ((v)) – คลื่นย่อย 5 ระลอกภายในคลื่น 3 (มักจะเป็นคลื่นที่ยาวที่สุด)
- คลื่นหลักที่ 4 ((a)), ((b)), ((c)) – คลื่นย่อย 3 ระลอกของการแก้ไขภายในคลื่น 4
- คลื่นหลักที่ 5 ((i)), ((ii)), ((iii)), ((iv)) – คลื่นย่อย 4 ระลอกภายในคลื่น 5 (บางครั้งอาจมี 5 ระลอก)
Corrective Wave (Zigzag):
- A. คลื่น A ((i)), ((ii)), ((iii)), ((iv)) – คลื่นย่อย 4 ระลอกภายในคลื่น A
- B. คลื่น B ((a)), ((b)), ((c)) – คลื่นย่อย 3 ระลอกภายในคลื่น B
- C. คลื่น C ((i)), ((ii)), ((iii)), ((iv)) – คลื่นย่อย 4 ระลอกภายในคลื่น C
Cycle Numbers: (1) – ระบุจุดสิ้นสุดของ Motive Wave และจุดเริ่มต้นของ Corrective Wave (2) – ระบุจุดสิ้นสุดของ Corrective Wave และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ Motive Wave รอบใหม่
คำอธิบายเพิ่มเติม:
- คลื่นที่เป็นตัวเลข (1, 3, 5) มักจะมีโครงสร้างภายในเป็น 5 คลื่นย่อย
- คลื่นที่เป็นตัวอักษร (2, 4, A, B, C) มักจะมีโครงสร้างภายในเป็น 3 คลื่นย่อย
- การใช้วงเล็บคู่ (( )) แสดงถึงระดับย่อยที่สุดของคลื่นที่แสดงในภาพนี้
ภาพรวมนี้แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างที่ซับซ้อนและเป็นระบบของ Elliott Wave Pattern ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมตลาดที่เกิดซ้ำในหลายระดับ
3. กฎของ Elliott Wave
กฎของ Elliott Wave เป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญในการวิเคราะห์และระบุรูปแบบคลื่น กฎเหล่านี้ไม่สามารถฝ่าฝืนได้ และใช้ในการยืนยันการนับคลื่นที่ถูกต้อง
3.1 กฎข้อที่ 1: คลื่น 2 ไม่สามารถย้อนกลับไปต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1 ได้
คำอธิบาย:
- ในแนวโน้มขาขึ้น คลื่น 2 ต้องไม่ลงต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1
- ในแนวโน้มขาลง คลื่น 2 ต้องไม่ขึ้นสูงกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1
เหตุผล:
- รักษาโครงสร้างของแนวโน้มหลัก
- ยืนยันว่าแนวโน้มใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นจริง
การนำไปใช้:
- ใช้ในการยืนยันจุดเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่
- ช่วยในการระบุจุด Stop Loss สำหรับการเทรดตามแนวโน้ม
3.2 กฎข้อที่ 2: คลื่น 3 ต้องไม่สั้นที่สุดในบรรดาคลื่น 1, 3 และ 5
คำอธิบาย:
- คลื่น 3 ต้องยาวกว่าคลื่น 1 หรือคลื่น 5 เสมอ
- มักจะเป็นคลื่นที่ยาวและแข็งแกร่งที่สุดในชุดคลื่นขับเคลื่อน
เหตุผล:
- สะท้อนช่วงที่แนวโน้มมีความชัดเจนและแข็งแกร่งที่สุด
- แสดงถึงการยอมรับแนวโน้มใหม่ของตลาด
การนำไปใช้:
- ใช้ในการคาดการณ์ความรุนแรงของการเคลื่อนไหวของราคา
- ช่วยในการวางแผนการเทรดเพื่อทำกำไรสูงสุดในช่วงคลื่น 3
3.3 กฎข้อที่ 3: คลื่น 4 ต้องไม่ซ้อนทับกับพื้นที่ราคาของคลื่น 1
คำอธิบาย:
- ในแนวโน้มขาขึ้น จุดต่ำสุดของคลื่น 4 ต้องไม่ลงมาต่ำกว่าจุดสูงสุดของคลื่น 1
- ในแนวโน้มขาลง จุดสูงสุดของคลื่น 4 ต้องไม่ขึ้นไปสูงกว่าจุดต่ำสุดของคลื่น 1
ข้อยกเว้น:
- กฎนี้อาจไม่ใช้กับคลื่นในตลาด Forex หรือสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภท
เหตุผล:
- รักษาโครงสร้างของแนวโน้มและความชัดเจนของรูปแบบคลื่น
- ช่วยแยกแยะระหว่างคลื่นขับเคลื่อนและคลื่นแก้ไข
การนำไปใช้:
- ใช้ในการยืนยันการนับคลื่นที่ถูกต้อง
- ช่วยในการระบุจุดเข้าซื้อหรือขายในช่วงปลายของคลื่น 4
การปฏิบัติตามกฎทั้งสามข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์ Elliott Wave ที่ถูกต้อง หากพบว่ารูปแบบคลื่นละเมิดกฎข้อใดข้อหนึ่ง นักวิเคราะห์จำเป็นต้องพิจารณาการนับคลื่นใหม่ กฎเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนและเทรดเดอร์สามารถระบุรูปแบบ Elliott Wave ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนที่มีประสิทธิภาพ
คลื่น Elliott สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ คลื่นแบบ Motive และคลื่นแบบ Corrective ในส่วนนี้เราจะเน้นที่คลื่นแบบ Motive
4.1 คลื่นแบบ Motive
คลื่นแบบ Motive เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก แบ่งออกเป็นสองประเภทย่อย คือ Impulse Wave และ Diagonal Wave ว่ากันง่าย ๆ ว่า Elliott Wave ที่เราเห็นจะเป็นคลื่นแบบ Motive และ Correction ในคลื่นแบบ Motive จะประกอบด้วย Impulse Wave และ Diagonal Wave อีกทีหนึ่ง ดังเนื้อหาต่อไปนี้
4.1.1 Impulse Wave
Impulse Wave เป็นรูปแบบคลื่นที่พบบ่อยที่สุดและมีพลังมากที่สุดในทฤษฎี Elliott Wave
ลักษณะสำคัญ:
- ประกอบด้วย 5 คลื่นย่อย (1-2-3-4-5)
- คลื่น 2 ไม่เคลื่อนที่เกิน 100% ของคลื่น 1
- คลื่น 3 มักจะยาวและแข็งแกร่งที่สุด
- คลื่น 4 ไม่ซ้อนทับกับพื้นที่ราคาของคลื่น 1
- คลื่น 5 มักจะยาวกว่าคลื่น 1 หรือ 3
การใช้งาน:
- ใช้ในการระบุทิศทางหลักของตลาด
- ช่วยในการคาดการณ์จุดสิ้นสุดของแนวโน้ม
4.1.2 Diagonal Wave
Diagonal Wave เป็นรูปแบบคลื่นที่มีลักษณะเฉพาะ มักเกิดขึ้นในช่วงสิ้นสุดของการเคลื่อนไหวหรือในช่วงเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ แบ่งออกเป็นสองประเภท:
Leading Diagonal
- เกิดขึ้นในตำแหน่งของคลื่น 1 หรือ คลื่น A
- มีโครงสร้าง 5-3-5-3-5
- คลื่น 1, 3, และ 5 แบ่งย่อยเป็น 5 คลื่น
- คลื่น 2 และ 4 แบ่งย่อยเป็น 3 คลื่น
- คลื่น 2 และ 4 มักจะซ้อนทับกัน
การใช้งาน:
- บ่งชี้การเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่
- มักพบในตลาดที่มีความผันผวนสูง
Ending Diagonal
- เกิดขึ้นในตำแหน่งของคลื่น 5 หรือ คลื่น C
- มีโครงสร้าง 3-3-3-3-3
- ทุกคลื่นย่อยแบ่งออกเป็น 3 คลื่น
- คลื่น 2 และ 4 มักจะซ้อนทับกัน
- มักมีลักษณะเป็นรูปลิ่มที่แคบลง (Wedge)
การใช้งาน:
- บ่งชี้การสิ้นสุดของแนวโน้ม
- มักเกิดหลังจากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและรุนแรง
ความแตกต่างระหว่าง Leading และ Ending Diagonal:
- ตำแหน่งที่เกิด: Leading เกิดที่จุดเริ่มต้น, Ending เกิดที่จุดสิ้นสุด
- โครงสร้างภายใน: Leading มีคลื่น 1, 3, 5 เป็น 5 คลื่น, Ending ทุกคลื่นเป็น 3 คลื่น
- ความชันของเส้นแนวโน้ม: Leading มักมีความชันมากกว่า Ending
การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Impulse Wave และ Diagonal Wave รวมถึงประเภทย่อยของ Diagonal Wave จะช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถระบุตำแหน่งปัจจุบันของตลาดในวัฏจักรของ Elliott Wave ได้แม่นยำยิ่งขึ้น และนำไปสู่การตัดสินใจเทรดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4.2 คลื่นแบบ Corrective
คลื่นแบบ Corrective หรือ คลื่น Elliott Wave ขาลง เป็นการเคลื่อนไหวที่ต้านทานแนวโน้มหลัก มักเกิดขึ้นหลังจากคลื่นแบบ Motive และมีรูปแบบที่ซับซ้อนกว่า แบ่งออกเป็นหลายประเภทดังนี้:
4.2.1 Zigzag (Simple, Double, Triple)
Zigzag เป็นรูปแบบการแก้ไขที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและคมชัด
- Simple Zigzag:
- โครงสร้าง: 5-3-5 (A-B-C)
- คลื่น A และ C เป็นคลื่น Impulse หรือ Leading Diagonal
- คลื่น B มักจะ retrace น้อยกว่า 61.8% ของคลื่น A
- Double Zigzag:
- โครงสร้าง: 5-3-5-X-5-3-5 (W-X-Y)
- ประกอบด้วย Zigzag สองรูปแบบที่เชื่อมต่อกันด้วยคลื่น X
- Triple Zigzag:
- โครงสร้าง: 5-3-5-X-5-3-5-X-5-3-5 (W-X-Y-X-Z)
- ประกอบด้วย Zigzag สามรูปแบบที่เชื่อมต่อกันด้วยคลื่น X
การใช้งาน: มักพบในตลาดที่มีแนวโน้มแรง ใช้ในการระบุจุดกลับตัวที่รวดเร็ว
4.2.2 Flat (Regular, Irregular, Running)
Flat เป็นรูปแบบการแก้ไขที่มีการเคลื่อนไหวแนวราบมากกว่า Zigzag
- Regular Flat:
- โครงสร้าง: 3-3-5 (A-B-C)
- คลื่น B retrace ประมาณ 90% ของคลื่น A
- คลื่น C มักจะมีความยาวใกล้เคียงกับคลื่น A
- Irregular Flat (Expanded Flat):
- โครงสร้าง: 3-3-5 (A-B-C)
- คลื่น B ยาวกว่าคลื่น A
- คลื่น C ยาวกว่าคลื่น A
- Running Flat:
- โครงสร้าง: 3-3-5 (A-B-C)
- คลื่น B ยาวกว่าคลื่น A
- คลื่น C สั้นกว่าคลื่น A และไม่เกินจุดเริ่มต้นของคลื่น A
การใช้งาน: มักพบในตลาดที่มีแนวโน้มอ่อนแอ ใช้ในการระบุช่วงพักตัวของตลาด
4.2.3 Triangle (Contracting, Expanding)
Triangle เป็นรูปแบบการแก้ไขที่มีการเคลื่อนไหวในลักษณะสามเหลี่ยม
- Contracting Triangle:
- โครงสร้าง: 3-3-3-3-3 (A-B-C-D-E)
- แต่ละคลื่วมีขนาดสั้นลงเรื่อยๆ
- มักเกิดก่อนการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของแนวโน้ม
- Expanding Triangle:
- โครงสร้าง: 3-3-3-3-3 (A-B-C-D-E)
- แต่ละคลื่นมีขนาดยาวขึ้นเรื่อยๆ
- พบได้น้อยกว่า Contracting Triangle
การใช้งาน: มักพบในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง ใช้ในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
4.2.4 Combination (Double Three, Triple Three)
Combination เป็นการรวมกันของรูปแบบ Corrective อื่นๆ
- Double Three:
- ประกอบด้วยรูปแบบ Corrective สองรูปแบบที่เชื่อมต่อกันด้วยคลื่น X
- ตัวอย่าง: Flat-X-Zigzag หรือ Zigzag-X-Triangle
- Triple Three:
- ประกอบด้วยรูปแบบ Corrective สามรูปแบบที่เชื่อมต่อกันด้วยคลื่น X
- ตัวอย่าง: Flat-X-Zigzag-X-Triangle
การใช้งาน: พบในช่วงที่ตลาดมีความซับซ้อนสูง ใช้ในการอธิบายการเคลื่อนไหวที่ยากต่อการคาดเดา
การเข้าใจรูปแบบต่างๆ ของคลื่นแบบ Corrective ช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถ:
- ระบุช่วงพักตัวของตลาดได้แม่นยำขึ้น
- คาดการณ์ระยะเวลาและความรุนแรงของการแก้ไข
- เตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของตลาด
การวิเคราะห์คลื่นแบบ Corrective ที่ถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ทฤษฎี Elliott Wave อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากช่วยในการระบุจุดสิ้นสุดของการแก้ไขและโอกาสในการเข้าเทรดตามแนวโน้มหลัก
5. การวิเคราะห์และการใช้งาน Elliott Wave
ต่อไปเป็นตัวอย่างการวิเคราะห์และการใช้งาน Elliott Wave ในโปรแกรม Tradingview รวมถึงการประยุกต์ใช้ Fibonacci Theory ใน elliott Wave คร่าว ๆ กัน
5.1 การนับคลื่นและการคาดการณ์ใน Tradingview
โปรแกรมที่ใช้ในการวิเคราะห์กราฟที่มาแรงที่สุดตอนนี้คือโปรแกรม Tradingview มีความสามารถในการใช้วิเคราะห์ Elliott Wave เข้าไปด้วย สามารถ Note และใช้ในการทำงาน Elliott Wave ได้เป็นอย่างดี
Elliott Wave ใน Trading view
เครื่องมือ Elliott Wave ใน Tradingview
เครื่องมือ Elliott Wave มีการนับคลื่นให้ สามารถทำเครื่องหมาย ทำ Note ทำได้หลายอย่าง ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน
ตัวอย่างการใช้คลื่น Impulse
- ด้านบนคือตัวอย่างคลื่น Impulse
- สามารถลากและจะปรากฏตัวเลขอัติโนมัติ
- ทำให้เราเข้าใจรูปแบบมากขึ้น และ Time Frame ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
- เป็นการวิเคราะห์ที่ง่ายมาก
5.2 การใช้ Fibonacci Ratios ใน Elliott Wave
ก่อนที่จะเจาะลึกเข้าสู่การใช้ Fibonacci Ratios ใน Elliott Wave Theory เราควรทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับ Fibonacci และความสำคัญของมันในการวิเคราะห์ทางการเงิน
Fibonacci คืออะไร?
Fibonacci เป็นชื่อที่มาจาก Leonardo of Pisa หรือที่รู้จักกันในนาม Leonardo Fibonacci นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีในศตวรรษที่ 13 ผู้ค้นพบลำดับตัวเลขที่มีความสำคัญ ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า Fibonacci sequence
Fibonacci sequence คือลำดับตัวเลขที่เริ่มต้นด้วย 0 และ 1 โดยตัวเลขถัดไปในลำดับจะเป็นผลรวมของสองตัวเลขก่อนหน้า ดังนี้:
0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89, 144, …
Fibonacci Ratios
จากลำดับ Fibonacci เราสามารถคำนวณอัตราส่วนที่สำคัญได้ โดยการหารตัวเลขในลำดับด้วยตัวเลขถัดไป ซึ่งจะได้อัตราส่วนที่มีความสำคัญดังนี้:
- 0.618 หรือ 61.8% (เรียกว่า Golden Ratio)
- 0.382 หรือ 38.2% (ส่วนกลับของ 61.8%)
- 0.236 หรือ 23.6%
- 1.618 หรือ 161.8%
อัตราส่วนเหล่านี้พบได้บ่อยในธรรมชาติ ศิลปะ และสถาปัตยกรรม และได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ทางการเงินด้วย
ความสำคัญในการวิเคราะห์ทางการเงิน
ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค Fibonacci Ratios ถูกใช้อย่างแพร่หลายในการคาดการณ์:
- ระดับแนวรับและแนวต้าน
- เป้าหมายของราคา
- จุดกลับตัวของแนวโน้ม
- ระดับการ Retracement ของราคา
นักวิเคราะห์และเทรดเดอร์เชื่อว่าตลาดการเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามอัตราส่วน Fibonacci เหล่านี้ ทำให้สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้
ในบริบทของ Elliott Wave Theory, Fibonacci Ratios มีบทบาทสำคัญในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นต่างๆ ทั้งในแง่ของขนาดและเวลา ซึ่งช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถคาดการณ์จุดสิ้นสุดของแต่ละคลื่นและวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในส่วนต่อไป เราจะเจาะลึกถึงวิธีการนำ Fibonacci Ratios มาใช้ร่วมกับ Elliott Wave Theory เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์และการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาด
ตาราง Fibonacci
นี่คือตารางสัดส่วนตัวเลข Fibonacci แสดงผลของตัวเลขต่อเนื่องดังต่อไปนี้
Fibonacci Table
การหาอัตราส่วน Fibonacci
อัตราส่วนฟีโบนักชีที่สำคัญบางส่วนสามารถหาได้ดังนี้:
- 0.618 ได้มาจากการหารเลขฟีโบนักชีในลำดับด้วยเลขฟีโบนักชีตัวอื่นที่ตามมาทันที ตัวอย่างเช่น 8 หารด้วย 13 หรือ 55 หารด้วย 89
• 0.382 ได้มาจากการหารเลขฟีโบนักชีใดๆ ในลำดับด้วยเลขฟีโบนักชีอีกตัวหนึ่งซึ่งพบสองตำแหน่งทางขวาของลำดับ ตัวอย่างเช่น 34 หารด้วย 89
• 1.618 (อัตราส่วนทองคำ) ได้มาจากการหารเลขฟีโบนักชีใด ๆ ในลำดับด้วยเลขฟีโบนักชีอีกตัวหนึ่งซึ่งพบ 1 ตำแหน่งทางซ้ายในลำดับ ตัวอย่างเช่น 89 หารด้วย 55, 144 หารด้วย 89
ระดับ Fibonacci Retracement กับ Extension
Fibonacci Retracement ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคและในทฤษฎี Elliott Wave หมายถึงการปรับฐานของตลาด
- ซึ่งคาดว่าจะสิ้นสุดที่บริเวณแนวรับหรือแนวต้านซึ่งแสดงโดยระดับ Fibonacci ที่สำคัญ จากนั้นตลาดคาดว่าจะกลับมาและกลับมามีแนวโน้มอีกครั้งในทิศทางหลัก
- Fibonacci Extension คือ ตลาดที่เคลื่อนไหวโดยมีแนวโน้มหลักในพื้นที่ของแนวรับและแนวต้านที่ระดับ Fibonacci ที่สำคัญซึ่งมีการวัดกำไรเป้าหมาย
ต่อไปนี้ คือ อัตราส่วน Fibonacci Retracement และ Fibonacci Extension ที่สำคัญสำหรับตลาดการเงิน:
Fibonacci Retracement and Extension
สิ่งที่เข้ากันได้ของ Elliott Wave กับ Fibonacci
อัตราส่วน Fibonacci มีประโยชน์ในการวัดราคาเป้าหมายของการเคลื่อนที่ของราคา ในรูปแบบคลื่นภายใต้โครงสร้าง Elliott Wave
คลื่นต่างๆ ในโครงสร้าง Elliott Wave สัมพันธ์กันด้วยอัตราส่วน Fibonacci ตัวอย่างเช่น Impulse:
- Wave 2 โดยทั่วไปคืออัตราส่วน 50%, 61.8%, 76.4% หรือ 85.4% ของคลื่น 1
- Wave 3 ปกติ 161.8% ของเวฟ 1
- Wave 4 โดยทั่วไปคือ 14.6%, 23.6% หรือ 38.2% ของคลื่น 3
- Wave 5 โดยทั่วไปจะผกผัน 1.236 – 1.618% ของคลื่น 4 เท่ากับคลื่น 1 หรือ 61.8% ของคลื่น 1+3
Trader สามารถใช้ข้อมูลข้างต้นเพื่อกำหนดจุดเริ่มเข้าเทรด และ จุดทำกำไร เมื่อส่งคำสั่งเทรดได้
6. บทสรุป
Elliott Wave Theory เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการวิเคราะห์ตลาดการเงิน โดยนำเสนอมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมของตลาดและจิตวิทยามวลชน การเข้าใจและประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถเพิ่มความได้เปรียบให้กับนักลงทุนและเทรดเดอร์ได้อย่างมาก
ประโยชน์ของ Elliott Wave ในการวิเคราะห์ตลาด
- การระบุแนวโน้มหลัก: Elliott Wave ช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถระบุแนวโน้มหลักของตลาดในระยะยาว ทำให้เข้าใจภาพรวมของการเคลื่อนไหวของราคา
- การคาดการณ์จุดกลับตัว: ด้วยการเข้าใจโครงสร้างของคลื่น นักลงทุนสามารถคาดการณ์จุดที่ตลาดอาจจะเปลี่ยนทิศทางได้
- การกำหนดเป้าหมายราคา: การใช้ Fibonacci Ratios ร่วมกับ Elliott Wave ช่วยในการกำหนดเป้าหมายราคาที่มีความแม่นยำมากขึ้น
- การจัดการความเสี่ยง: ทฤษฎีนี้ช่วยในการกำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit ที่สมเหตุสมผลตามโครงสร้างของคลื่น
- การเข้าใจจิตวิทยาตลาด: Elliott Wave สะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์และพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาด ช่วยให้เข้าใจสภาวะตลาดได้ดียิ่งขึ้น
- การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา: สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกกรอบเวลา ตั้งแต่กราฟรายนาทีไปจนถึงรายปี ทำให้เห็นภาพรวมของตลาดได้ครบถ้วน
- การยืนยันสัญญาณทางเทคนิคอื่นๆ: สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อยืนยันสัญญาณการเทรดได้
ความสำคัญของการฝึกฝนและประสบการณ์
แม้ว่า Elliott Wave Theory จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่การใช้งานอย่างมีประสิทธิผลต้องอาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์อย่างมาก:
- ความซับซ้อนของทฤษฎี: Elliott Wave มีกฎและแนวทางที่ซับซ้อน การเข้าใจอย่างถ่องแท้ต้องใช้เวลาและการฝึกฝน
- การตีความที่หลากหลาย: การนับคลื่นอาจมีการตีความที่แตกต่างกัน ประสบการณ์จะช่วยให้สามารถเลือกการนับที่มีความน่าจะเป็นมากที่สุด
- การปรับตัวกับสภาวะตลาด: ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องช่วยให้สามารถปรับการวิเคราะห์ให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้
- การจัดการอารมณ์: การเทรดตาม Elliott Wave ต้องอาศัยความอดทนและการควบคุมอารมณ์ ซึ่งพัฒนาได้จากประสบการณ์
- การผสมผสานกับเครื่องมืออื่น: ประสบการณ์จะช่วยให้รู้จักวิธีการผสมผสาน Elliott Wave กับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การรับมือกับความไม่แน่นอน: ตลาดไม่ได้เป็นไปตามทฤษฎีเสมอไป ประสบการณ์จะช่วยให้รู้จักการปรับตัวเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์
สรุปแล้ว Elliott Wave Theory เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการวิเคราะห์ตลาด แต่ต้องอาศัยการศึกษา ฝึกฝน และสั่งสมประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการลงทุนและการเทรด แต่ยังช่วยให้เข้าใจพลวัตของตลาดการเงินได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
7. คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Elliott Wave
1. Elliott Wave เหมาะกับตลาดประเภทใด?
Elliott Wave สามารถนำไปใช้ได้กับตลาดการเงินหลายประเภท แต่จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดในตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและมีผู้เข้าร่วมตลาดจำนวนมาก เช่น:
- ตลาดหุ้น: โดยเฉพาะดัชนีหุ้นหลักและหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูง
- ตลาด Forex: คู่สกุลเงินหลัก เช่น EUR/USD, USD/JPY
- ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำ, น้ำมัน
- ตลาดพันธบัตร
- ตลาด Cryptocurrency ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น Bitcoin, Ethereum
ทั้งนี้ ประสิทธิภาพของการวิเคราะห์จะขึ้นอยู่กับความผันผวนและปริมาณการซื้อขายของตลาดนั้นๆ ด้วย
2. ใช้เวลานานแค่ไหนในการเรียนรู้และใช้งาน Elliott Wave อย่างมีประสิทธิภาพ?
การเรียนรู้และใช้งาน Elliott Wave อย่างมีประสิทธิภาพเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความทุ่มเท:
- การเรียนรู้พื้นฐาน: 3-6 เดือนสำหรับการเข้าใจหลักการและกฎเกณฑ์พื้นฐาน
- การฝึกฝนเบื้องต้น: 6-12 เดือนสำหรับการฝึกนับคลื่นและวิเคราะห์กราฟ
- การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ: 1-3 ปีหรือมากกว่านั้นสำหรับการพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญ
ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาการเรียนรู้:
- ความถี่ในการฝึกฝน
- ประสบการณ์ก่อนหน้าในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลและการสอนที่มีคุณภาพ
ควรตระหนักว่าการเรียนรู้ Elliott Wave เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ
3. Elliott Wave สามารถใช้ได้กับทุกกรอบเวลาหรือไม่?
ใช่ Elliott Wave สามารถใช้ได้กับทุกกรอบเวลา ตั้งแต่กราฟรายนาทีไปจนถึงกราฟรายปีหรือมากกว่านั้น โดยมีข้อควรพิจารณาดังนี้:
- กรอบเวลาสั้น (รายนาที, รายชั่วโมง): มักใช้สำหรับการเทรดระยะสั้น แต่อาจมีสัญญาณหลอกได้ง่าย
- กรอบเวลากลาง (รายวัน, รายสัปดาห์): เหมาะสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มระยะกลาง
- กรอบเวลายาว (รายเดือน, รายปี): ใช้สำหรับวิเคราะห์แนวโน้มหลักและวางแผนการลงทุนระยะยาว
การวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพมักใช้การวิเคราะห์หลายกรอบเวลาร่วมกัน (Multiple Time Frame Analysis) เพื่อให้เห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
4. มีซอฟต์แวร์หรือเครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์ Elliott Wave หรือไม่?
มีซอฟต์แวร์และเครื่องมือหลายประเภทที่ช่วยในการวิเคราะห์ Elliott Wave:
- แพลตฟอร์มการเทรดที่มีเครื่องมือ Elliott Wave ในตัว:
- MetaTrader 4/5 พร้อม Elliott Wave indicator
- TradingView มี Elliott Wave tools และ scripts
- ซอฟต์แวร์เฉพาะทาง:
- Elliott Wave Forecast Software
- MotiveWave
- Advanced GET
- เครื่องมือออนไลน์:
- Elliott Wave Analyzer
- WaveBasis
- แอพพลิเคชันมือถือ:
- Elliott Wave Trader
- Wave59 PRO2
อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังว่าไม่มีซอฟต์แวร์ใดที่สามารถวิเคราะห์ Elliott Wave ได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยอัตโนมัติ การตัดสินใจสุดท้ายควรขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์และการตีความของนักวิเคราะห์เอง ซอฟต์แวร์และเครื่องมือเหล่านี้ควรใช้เป็นตัวช่วยเสริมการวิเคราะห์เท่านั้น
รูปแบบ Traingle
ที่มาของข้อมูลและภาพ
- https://elliottwave-forecast.com/elliott-wave-theory/
- https://www.investopedia.com/terms/e/elliottwavetheory.asp
- https://en.wikipedia.org/wiki/Elliott_wave_principle
FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง