Forex Balance คืออะไร
Forex Balance คือ อ้างอิงถึงยอดเงินที่มีอยู่ในบัญชีเทรดฟอเร็กซ์ (Forex trading account) ของคุณรายละเอียดของ “Forex Balance” สามารถอธิบายได้ดังนี้
Balance (ยอดเงินคงเหลือ) เพราะเป็นยอดเงินทั้งหมดที่คุณมีอยู่ในบัญชีเทรด ณ ขณะนั้น ซึ่งไม่รวมถึงกำไรหรือขาดทุนจากการเปิดตำแหน่งที่ยังไม่ปิด (open trades) ยอดเงินนี้จะเปลี่ยนแปลงเมื่อคุณปิดตำแหน่งทั้งหมดที่เปิดอยู่
Floating Profit/Loss (กำไร/ขาดทุนลอยล float) เป็นผลต่างระหว่างค่าซื้อขายเมื่อเปิดตำแหน่งและราคาปัจจุบัน โดยยังไม่ได้เข้าไปปรับยอดใน Balance ของคุณจนกว่าคุณจะปิดตำแหน่งนั้นๆ
Equity (ยอดเงินทั้งหมด) เป็นค่ารวมของ Balance และ Floating Profit/Loss หากคุณปิดตำแหน่งทั้งหมดที่เปิดอยู่ณ ขณะนั้น ยอดเงิน Equity จะกลายเป็นยอดเงิน Balance ใหม่ของคุณ
ดังนั้น เมื่อพูดถึง “Forex Balance” ก็คือยอดเงินที่คุณมีอยู่ในบัญชีเทรดฟอเร็กซ์ของคุณ ไม่รวมการเปิดตำแหน่งที่ยังไม่ได้ปิด แต่ถ้าคุณต้องการทราบยอดเงินรวมทั้งการเปิดตำแหน่งปัจจุบัน คุณควรดูที่ “Equity”
ความหมายของ Balance ในการเทรด Forex
Balance สำหรับภาษาอังกฤษทั่วไปอาจ หมายถึง ความสมดุลหรือดุลยภาพ1 แต่เมื่อมาถึงบริบทของการเทรด Forex ความหมายของมันเปลี่ยนไป เนื่องจากในตลาด Forex “Balance” หมายถึง ยอดเงินที่มีอยู่ในบัญชีของผู้เทรด ซึ่งไม่เป็นจำนวนเงินที่ปรับปรุงเรียลไทม์ หากมีการเปิดออร์เดอร์ที่ติดลบและยังไม่ได้ปิด ยอด “Balance” จะยังคงอยู่เดิม
แต่นอกจากนั้น “Balance” ยังไม่รวมโบนัสที่ผู้เทรดได้รับหรือกำไรและขาดทุนที่กำลังเกิดขึ้นจากออร์เดอร์ที่ยังไม่ได้ปิด การอ้างถึง “Balance” ก็คือการอ้างถึงยอดเงินสุทธิที่ผู้เทรดสามารถใช้ในการเปิดออร์เดอร์ใหม่หรืออนเงินออกมาได้ บางครั้ง “Balance” จะถูกแสดงเป็นเงินบาท ขณะที่บางครั้งก็เป็น USD
ตัวอย่างเช่น
- หากฝากเงินเข้าบัญชีเทรด 200$ ยอด “Balance” ของผู้เทรดก็จะแสดงเป็น 200$ เป็นต้น
คำศัพท์ Forex เกี่ยวข้องและใช้ร่วมกับ Balance มีอะไรบ้าง
การเทรดในตลาด Forex มีการใช้คำศัพท์ที่เฉพาะเจาะจงในการอ้างอิงต่อสถานะเงินในบัญชีของนักเทรด ซึ่งมีหลายคำศัพท์ แต่วันนี้ขอนำเสนอที่สำคัญๆ ดังนี้
Equity
คือ: ยอดเงินรวมกำไรหรือขาดทุนของออเดอร์ที่กำลังเปิด
วิธีคำนวณ: Equity = Balance + กำไร/ขาดทุน
เช่น: Balance 200$ แต่ Equity 210$ นั่นคือ มีกำไร 10$
Margin
คือ: เงินที่นักเทรดใช้เปิดออเดอร์ (เรียกว่า “เงินประกัน”)
วิธีคำนวณ: Margin = ราคา x Lot x Contract size / Leverage
เช่น: เปิด 1 lot ของ EURUSD ที่ราคา 13413 กับ Leverage 1:500 ต้องใช้ Margin 26826$
Free Margin
คือ: เงิน Margin ที่ยังไม่ได้ใช้
วิธีคำนวณ: Free Margin = Equity – Margin
Margin Level
คือ: เปอร์เซ็นต์ของ Margin ที่กำลังถูกใช้
วิธีคำนวณ: Margin Level = (Equity / Margin) x 100%
Leverage
คือ: อัตราส่วนที่นักเทรดสามารถยืมเงินมาเทรด
คำแนะนำ การเทรดด้วย Leverage สูงสามารถเพิ่มโอกาสของกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนมากขึ้น ดังนั้นควรใช้วิจารณญาณและวางแผนการลงทุนอย่างระมัดระวัง
- ข้อดี: เพิ่มโอกาสในการเทรดแบบสั้น เปิดออเดอร์เยอะๆ แม้มีเงินน้อย
- ข้อเสีย: เปิดออเดอร์ใหญ่ๆ กับเงินน้อยอาจนำไปสู่การขาดทุนมาก
Forex Balance ติดลบคืออะไร
การเทรด Forex สามารถมีการเกิดขาดทุนได้ และเมื่อเราพูดถึง “Forex Balance ติดลบ” หมายถึง บัญชีการเทรดของคุณมียอดเงินที่น้อยกว่า 0 หรือบัญชีของคุณขาดทุนเกินกว่าเงินที่คุณฝากเข้าไป
การที่บัญชี Forex ของคุณมี Balance ติดลบสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ
- การใช้ Leverage สูง: Leverage ช่วยให้คุณสามารถเทรดเงินจำนวนมาก แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนขนาดใหญ่
- ข่าวหรือเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ: เหตุการณ์บางอย่างอาจทำให้ตลาดมีการเคลื่อนไหวแบบกะทันหัน ทำให้เกิดขาดทุนอย่างรวดเร็ว
- การไม่ตั้ง Stop Loss: การไม่กำหนดระดับตัดขาดทุน หรือ Stop Loss อาจทำให้ขาดทุนสะสมได้เรื่อยๆ
หากบัญชีของคุณมี Balance ติดลบ อาจจำเป็นต้องชำระเงินเพิ่มเติมเข้าบัญชี เพื่อปิดยอดเงินติดลบนั้น แต่บางโบรกเกอร์ในตลาด Forex นั้นมีนโยบายที่ป้องกันบัญชีของนักเทรดจากการติดลบ ที่เรียกว่า “Negative Balance Protection” ซึ่งหากเกิดขาดทุนเกินไปจนบัญชีติดลบ โบรกเกอร์จะตั้งค่าให้บัญชีกลับมาเป็น 0 โดยไม่ต้องชำระเงินเพิ่ม
ในทางปฏิบัติควรคำนึงถึงความเสี่ยงในการเทรด Forex และใช้วิธีการป้องกันความเสี่ยง เช่น การตั้ง Stop Loss การไม่ใช้ Leverage สูงเกินไป และติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจเพื่อป้องกันขาดทุนที่ไม่คาดคิดอยู่สม่ำเสมอ
ตัวอย่าง
สมมติว่าคุณเป็นนักเทรด Forex ที่เพิ่งเริ่มต้น และคุณต้องการเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD โดยคุณมีบัญชีที่มียอดเงินฝาก 1000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
1 การใช้ Leverage สูง
คุณเลือกใช้ Leverage 1:500 ซึ่งหมายความว่า คุณสามารถเทรดจำนวนเงินมากกว่าที่คุณมีในบัญชีได้ถึง 500 เท่า นั่น คือ คุณสามารถเทรดได้มากสุด 500000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเงินที่คุณมีเพียง 1000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
2 การไม่ตั้ง Stop Loss
คุณเทรด Long (ซื้อ) EUR/USD โดยไม่ได้ตั้ง Stop Loss เพราะคิดว่าตลาดจะเคลื่อนไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์
3 ข่าวหรือเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ
ขณะที่คุณกำลังเทรด มีข่าวเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองในยุโรป เกิดขึ้น ทำให้ค่าของ EUR ตกต่ำอย่างรวดเร็ว
ผลที่เกิดขึ้น
- เนื่องจากคุณใช้ Leverage สูงและไม่ได้ตั้ง Stop Loss
- การที่ EUR ตกต่ำทำให้คุณขาดทุนเร็วมาก
- สมมติว่าคุณขาดทุนไป 1500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้บัญชีของคุณแสดงยอดเงิน -500 ดอลลาร์สหรัฐฯ นั่น คือ “Forex Balance ติดลบ”
หากคุณเทรดกับโบรกเกอร์ที่มีนโยบาย “Negative Balance Protection” โบรกเกอร์จะทำการปรับยอดเงินในบัญชีของคุณกลับเป็น 0 แต่หากไม่มีนโยบายดังกล่าว คุณอาจจำเป็นต้องชำระเงินเพิ่มเติมเข้าสู่บัญชีเพื่อปิดยอดติดลบนั้น
เทรดกับโบรกเกอร์ที่มีนโยบาย “Negative Balance Protection”
สถานการณ์จะเป็นดังนี้
- การปรับยอดเงิน: โบรกเกอร์จะปรับยอดเงินในบัญชีการเทรดของคุณกลับมาที่ 0 (ศูนย์) หรือยอดเริ่มต้นสำหรับบัญชีใหม่ หมายความว่าคุณจะไม่ต้องติดลบ
- ไม่ต้องชำระเงินเพิ่ม: คุณจะไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเข้าบัญชีเพื่อคืนยอดให้กลับมาเป็นบวกหรือเท่ากับศูนย์
- การป้องกันความเสี่ยง: นโยบายนี้ช่วยให้นักเทรดป้องกันความเสี่ยงจากการเสียเงินเกินกว่าที่ฝากเข้ามาในบัญชีการเทรด
- ทบทวนการเทรด: แม้ว่านโยบายนี้จะเป็นการป้องกันยอดเงินติดลบ แต่คุณยังควรทบทวนการเทรดของคุณและเหตุผลที่ทำให้บัญชีติดลบ เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์การเทรดในอนาคต
- ตรวจสอบข้อกำหนด: ถึงแม้คุณจะเทรดกับโบรกเกอร์ที่มีนโยบาย “Negative Balance Protection” แต่ควรตรวจสอบข้อกำหนดและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าใจขั้นตอนและสิทธิ์ของคุณในกรณีที่บัญชีการเทรดติดลบ
- ความเสี่ยงจากการเทรด: ควรระลึกว่า แม้จะมีนโยบายนี้ การเทรด Forex ยังคงมีความเสี่ยง ควรเทรดด้วยเงินที่คุณพร้อมที่จะเสียได้
- ด้วยนโยบาย “Negative Balance Protection” นักเทรดจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการเทรด แต่ยังควรมีความระมัดระวังและทบทวนกลยุทธ์การเทรดของตนเองอย่างสม่ำเสมอ
พอร์ตติดลบ ได้ไหม
พอร์ตติดลบได้ไหมนั้น เทรดเดอร์ทุกคนคงพอรู้อยู่แล้วว่า พอร์ตติดลบถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก ในตลาด Forex (ตลาดเปรียบเทียบค่าเงินของสกุลต่างๆ) คำว่า “พอร์ตติดลบ” ไม่ได้ใช้บ่อยครั้งเท่ากับคำว่า “Balance ติดลบ” หรือ “Negative Balance” ทว่าเราสามารถอธิบายความหมายในบริบทของ Forex ได้ดังนี้
การที่บัญชีการเทรด Forex ของคุณมี “Balance ติดลบ” หมายความว่า
- คุณเปิดออเดอร์ในตลาด Forex และตลาดเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้ามจนถึงระดับที่เงินในบัญชีของคุณไม่สามารถรองรับขาดทุนที่เกิดขึ้นได้แล้ว
- โบรกเกอร์สามารถปิดออเดอร์ของคุณโดยอัตโนมัติเมื่อเงินในบัญชีลดลงจนถึงระดับที่กำหนด (เรียกว่า Margin Call) แต่ในบางกรณีที่ตลาดเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ออเดอร์ของคุณอาจจะปิดในราคาที่แย่กว่าที่คาดหวัง ทำให้บัญชีของคุณมี Balance ติดลบ
นี่เป็นสถานการณ์ที่คุณต้องการเปิดตำแหน่งเทรดให้ตรงกับทิศทางตลาด แต่เนื่องจากการเคลื่อนไปของตลาดทำให้คุณขาดทุนมากเกินกว่าที่เงินประกัน (Margin) ของคุณสามารถรองรับได้
ถ้าโบรกเกอร์ของคุณมีนโยบาย “Negative Balance Protection” ในกรณีที่บัญชีของคุณติดลบ โบรกเกอร์จะปรับยอด Balance ของคุณกลับมาที่ 0 หรือไม่ต้องให้คุณชำระเงินที่ติดลบนั้น แต่ถ้าโบรกเกอร์ไม่มีนโยบายนี้ คุณอาจต้องชำระเงินที่ติดลบนั้นแก่โบรกเกอร์
XM Balance ติดลบ ทำอย่างไร
XM เป็นบริษัทโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรม Forex และมีนโยบาย “Negative Balance Protection” นั่นหมายความว่าถ้าบัญชีการเทรดของคุณติดลบหลังจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่รวดเร็วหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด XM จะปรับยอด Balance ของคุณกลับมาที่ 0 โดยไม่ต้องให้คุณชำระเงินที่ติดลบนั้น
หากบัญชีการเทรดของคุณที่ XM ติดลบ ควรทำดังนี้
- ตรวจสอบยอดบัญชี: ก่อนอื่น ควรตรวจสอบยอดบัญชีของคุณในแพลตฟอร์มการเทรดเพื่อยืนยันว่ามันติดลบจริงๆ และเป็นการติดลบที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของตลาดหรือเนื่องจากบางสาเหตุอื่น
- XM มีนโยบาย “Negative Balance Protection” ดังนั้นหากบัญชีของคุณติดลบ โบรกเกอร์ควรจะปรับยอดบัญชีของคุณกลับเป็น 0 ภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือภายใน 1 วันทำการ
- ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า: หากผ่านไปสักพักแล้วยอดบัญชีของคุณยังคงอยู่ในสถานะติดลบ ควรติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของ XM เพื่อแจ้งเรื่องและขอคำแนะนำเพิ่มเติม
- วิเคราะห์สาเหตุ: พยายามทบทวนและวิเคราะห์เหตุผลที่ทำให้บัญชีของคุณติดลบ เพื่อป้องกันการเกิดสถานการณ์เดียวกันในอนาคต
- ประเมินและปรับปรุงกลยุทธ์การเทรด: หากคุณพบว่าสาเหตุที่ทำให้บัญชีของคุณติดลบเกิดจากการเทรดของคุณเอง ควรพิจารณาปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์การเทรดของคุณ
- พิจารณาวิธีการจัดการความเสี่ยง: การตั้งค่า Stop Loss การใช้ขนาดตำแหน่งที่เหมาะสม และการมีความรู้ความเข้าใจในการใช้ Leverage สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการที่บัญชีของคุณจะติดลบได้
เป็นหนี้โบรกเกอร์ไหม
การว่าคุณจะเป็นหนี้กับโบรกเกอร์ในธุรกิจ Forex จะขึ้นอยู่กับนโยบายของโบรกเกอร์นั้นๆ และเงื่อนไขที่คุณตกลงกับโบรกเกอร์
- นโยบาย “Negative Balance Protection”: หากโบรกเกอร์มีนโยบายนี้ บัญชีการเทรดของคุณจะไม่สามารถมียอดติดลบได้ ถ้าเกิดมีเหตุการณ์ที่สาเหตุให้บัญชีของคุณติดลบ (เช่น การเคลื่อนไหวของตลาดที่รวดเร็ว) โบรกเกอร์จะปรับยอดเงินในบัญชีของคุณกลับเป็น 0 และคุณจะไม่ต้องชำระหนี้ใดๆ ที่เกิดขึ้น
- ไม่มีนโยบาย “Negative Balance Protection”: ในกรณีนี้ หากบัญชีการเทรดของคุณติดลบ คุณจะต้องชำระเงินตามจำนวนที่ติดลบ นี่คือรูปแบบเดิมๆ ในอดีตของการเทรด Forex แต่ในปัจจุบัน หลายๆ โบรกเกอร์ได้เริ่มใช้นโยบาย “Negative Balance Protection” เพื่อปกป้องลูกค้าของพวกเขา
- สัญญาและเงื่อนไข: ควรอ่านและทำความเข้าใจสัญญาและเงื่อนไขที่คุณได้รับจากโบรกเกอร์เมื่อเปิดบัญชี เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับความรับผิดชอบของคุณในกรณีที่บัญชีการเทรดติดลบ
- ติดต่อโบรกเกอร์: หากคุณไม่แน่ใจหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับยอดบัญชีของคุณ ควรติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของโบรกเกอร์เพื่อขอคำแนะนำ
ตัวอย่าง Balance Forex Balance ติดลบ
สถานการณ์ เพื่ออธิบายในเรื่องของ “Forex Balance ติดลบ” ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
1 การเริ่มต้น
คุณมีบัญชีการเทรด Forex กับโบรกเกอร์ A และมีเงินฝากอยู่ 1000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ในบัญชีเทรดของคุณ
2 การใช้ Leverage สูง
คุณต้องการเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD และเลือกใช้ Leverage 1:500 ซึ่งแปลว่า ด้วยเงินฝาก 1000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ของคุณ คุณสามารถควบคุมรายการเทรดที่มีมูลค่า 500000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
3 การเปิด Position
คุณเทรด Long (ซื้อ) EUR/USD ใน volume 5 lots (ซึ่งสัมพันธ์กับ 500000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ในราคา 12000 โดยคาดว่า EUR จะเพิ่มมูลค่าเทียบกับ USD
4 การเคลื่อนไหวของตลาด
ขณะที่คุณเทรด มีข่าวว่าธนาคารกลางยุโรปประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ EUR ตกต่ำอย่างรวดเร็ว
5 ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด
EUR/USD ตกจาก 12000 เป็น 11970 ภายในไม่กี่นาที นั่นหมายความว่าคุณขาดทุน 30 pips ใน 5 lots = 1500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเงินฝากเริ่มแรกของคุณที่ 1000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และขาดทุน 1500 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากการเทรดนี้ บัญชีของคุณจึงแสดงยอดเงินติดลบ -500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเรียกว่า “Forex Balance ติดลบ”
6 การแก้ไข
หากโบรกเกอร์ของคุณมีนโยบาย “Negative Balance Protection” บัญชีของคุณจะถูกปรับเป็น 0 ดอลลาร์สหรัฐฯ และคุณจะไม่ต้องชำระเงินเพิ่ม แต่ถ้าโบรกเกอร์ของคุณไม่มีนโยบายดังกล่าว คุณอาจจะต้องชำระเงินเพิ่มเข้าในบัญชีเพื่อปิดยอดติดลบนั้น แนะนำให้นักเทรดตั้งค่า Stop Loss และไม่ควรใช้ Leverage สูงเกินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเองเพื่อป้องกันบัญชีเทรดของตนเองจากการติดลบ
ประโยชน์จากการอ่านค่า Balance
ช่วยให้เราวางแผนการจัดการความเสี่ยง ยอด Balance ที่แท้จริงเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจว่าคุณควรลงทุนในตำแหน่งใดและใช้ leverage เท่าไหร่ ทั้งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเทรดที่ไม่ตระหนักถึงยอดเงินที่คุณมีอยู่จริง
เป็นสัญญาณแจ้งเตือนเมื่อมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ หากค่า Balance ของคุณมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหรือไม่สอดคล้องกับความคาดหวัง, นั่นอาจเป็นสัญญาณว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบทันที
ช่วยตรวจสอบผลกำไร-ขาดทุน บางครั้งการดูยอด Balance เป็นวิธีง่ายในการตรวจสอบว่าเรากำลังได้กำไรหรือขาดทุนจากการเทรด หากยอด Balance มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงว่าการเทรดของคุณนั้นประสบความสำเร็จ
ช่วยให้เราสามารถประเมินประสิทธิภาพของการเทร ยอด Balance สามารถช่วยให้เราวัดดูประสิทธิภาพของการเทรดได้ ว่าเราสามารถทำกำไรได้มากแค่ไหน และยอดขาดทุนคือเท่าไหร่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงแผนการเทรดให้ดียิ่งขึ้น
การเข้าใจยอด Balance จึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักเทรด ไม่ว่าจะเป็นนักเทรดมือใหม่หรือมืออาชีพ การทราบยอดเงินที่คุณมีอยู่จริง จะช่วยให้คุณเทรดด้วยความมั่นใจและรู้ทันสถานการณ์ในแต่ละขณะ
FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง