Parabolic SAR คืออะไร
Parabolic SAR หรือ PSAR คือ เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้ม SAR ย่อมาจาก “Stop and Reverse” หมายความว่าตัวบ่งชี้ไม่เพียงแต่กำหนดแนวโน้ม จะให้สัญญาณในการซื้อขาย จุดที่เป็นจังหวะปิดการซื้อขายในแนวโน้มนั้น แล้วพิจารณาทิศทางตรงกันข้าม
ถือว่าเป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มที่มีความล่าช้าน้อย แต่การใช้งานก็อาจมีซับซ้อนบ้าง สามารถใช้ได้ในเกือบทุกกรอบเวลา สิ่งนี้และความแม่นยำในการคาดการณ์ที่ดีเป็นสาเหตุของความนิยมอย่างมากของ Parabolic บน Forex SAR เป็นตัวบ่งชี้แนวโน้ม มันแสดงให้เห็นว่าใครแข็งแกร่งกว่าในตลาด – กระทิงหรือหมี และอนุญาตให้ตัวเทรตดเดอร์ระบุเงื่อนไขสำหรับการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มได้อย่างไม่มีการจำกัด
คำนิยาม
Parabolic SAR (SAR) เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคด้านเวลาและราคาที่ใช้เป็นหลักในการระบุจุดที่อาจหยุดและกลับตัว และในความเป็นจริง SAR ใน Parabolic SAR ย่อมาจาก “Stop and Reverse” การคำนวณของตัวบ่งชี้จะสร้างพาราโบลาซึ่งอยู่ต่ำกว่าราคาในช่วงเทรนด์ขาขึ้นและอยู่เหนือราคาในช่วงเทรนด์ขาลงนั้นเอง
ความเป็นมาของ Parabolic SAR
ภาพประกอบ: Welles Wilder, ca. 1990s จาก wikipedia
- Welles Wilder ได้สร้าง Parabolic SAR (SAR) และนำเสนอไว้ในหนังสือ New Concepts in Technical Trading Systems หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี 1978 และยังมีตัวบ่งชี้คลาสสิกหลายตัวของเขาเช่น; ดัชนีความสัมพันธ์สัมพัทธ์ ช่วงจริงเฉลี่ย และดัชนีทิศทางการเคลื่อนที่ เช่นเดียวกับตัวบ่งชี้ที่กล่าวถึง ตัวบ่งชี้ Parabolic SAR ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายและมีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- จอห์น เวลเลส ไวล์เดอร์ จูเนียร์ เป็นวิศวกรเครื่องกลชาวอเมริกันที่ผันตัวมาเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากผลงานการวิเคราะห์ทางเทคนิค Wilder เป็นบิดาของตัวบ่งชี้ทางเทคนิคหลายตัว
- ปัจจุบันถือเป็นหลักการหลักของซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งรวมถึงช่วง True เฉลี่ย ดัชนีความสัมพันธ์สัมพัทธ์ ( RSI ) ดัชนีทิศทางเฉลี่ยและ Parabolic SAR
Parabolic SAR ใช้ยังไง
Parabolic SAR เป็นเครื่องมือวิเคราะห์เทคนิคที่นักเทรดนิยมใช้ในการวางหยุดขาดทุนและหยุดกำไรในการเทรดในตลาดทุกแบบ ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้
- Parabolic SAR ใช้เทรนด์เส้นเป็นตัวบอกทิศทางของตลาด ซึ่งช่วยให้นักเทรดเข้าใจแนวโน้มของตลาดและวางกลยุทธ์การเทรดได้อย่างถูกต้อง
- Parabolic SAR ใช้เทรนด์เส้นเป็นตัวบอกแนวรับและแนวต้านของตลาด ซึ่งช่วยให้นักเทรดวางกลยุทธ์การเทรดในระยะสั้นๆ และสามารถวางหยุดขาดทุนและหยุดกำไรได้อย่างแม่นยำ
- Parabolic SAR ใช้ข้อมูลเทรนด์เส้น และปรับขนาดหน่วยการเคลื่อนไหวของข้อมูลในแต่ละขั้นตอน ซึ่งช่วยให้เครื่องมือนี้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างแม่นยำ
- Parabolic SAR สามารถใช้ได้กับตลาดทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นตลาด Forex, ตลาดหุ้น หรือตลาดสินค้า เป็นต้น
- Parabolic SAR เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์เทคนิคอื่นๆได้ เช่น MACD, RSI, Bollinger Bands เพื่อช่วยวิเคราะห์ตลาดและวางกลยุทธ์การเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ
นักเทรดในตลาดทุกแบบนิยมใช้ Parabolic SAR เป็นเครื่องมือวิเคราะห์เทคนิค เพื่อช่วยในการวางกลยุทธ์การเทรด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวางหยุดขาดทุนและหยุดกำไร นอกจากนี้ Parabolic SAR ยังเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์เทคนิคอื่นๆ เช่น MACD, RSI, Bollinger Bands เพื่อช่วยวิเคราะห์ตลาดและวางกลยุทธ์การเทรดอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
หลักการดูทั่วไปของ Parabolic SAR
หลักการของ Parabolic SAR คือการแสดงแนวโน้มของตลาด โดยการใช้เส้นกราฟซึ่งจะเป็นไปตามแนวโน้มของราคา และจะช่วยให้นักเทรดสามารถระบุแนวรับและแนวต้านของตลาดได้ง่ายขึ้น หากตลาดอยู่ในสถานการณ์เทรนด์ขึ้น (uptrend) เส้น Parabolic SAR จะถูกวาดด้านล่างของแท่งเทียน โดยเริ่มต้นเส้นจะวาดด้านล่างของกราฟ และจะเริ่มสูงขึ้นเมื่อราคาขึ้น หากราคากลับตกลง และเส้น Parabolic SAR ยังอยู่ด้านบนของแท่งเทียน จะถือว่ามีสัญญาณแสดงว่าตลาดอาจจะเริ่มเปลี่ยนเทรนด์
- ในสถานการณ์เทรนด์ลง (downtrend) เส้น Parabolic SAR จะถูกวาดด้านบนของแท่งเทียน โดยเริ่มต้นเส้นจะวาดด้านบนของกราฟ และจะเริ่มต่ำลงเมื่อราคาลดลง หากราคากลับขึ้นและเส้น Parabolic SAR ยังอยู่ด้านล่างของแท่งเทียน จะถือว่ามีสัญญาณแสดงว่าตลาดอาจจะเริ่มเปลี่ยนเทรนด์
- การใช้ Parabolic SAR ในการวางหยุดขาดทุน (stop loss) และหยุดกำไร (take profit) จะขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรดของนักเทรดแต่ละคน โดยมีหลักการว่าเมื่อเส้น Parabolic SAR ข้ามราคานั้น จะถือว่ามีแนวรับหรือแนวต้านใกล้เคียง
การจำกัดการขาดทุน Parabolic SAR ด้วย stop loss
การใช้ Parabolic SAR ในการวางหยุดขาดทุน (stop loss) และหยุดกำไร (take profit) จะขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรดของนักเทรดแต่ละคน และต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวังเพื่อป้องกันการสูญเสียทุนที่ไม่จำเป็น
สำหรับการวางหยุดขาดทุน (stop loss) นักเทรดสามารถใช้ Parabolic SAR ในการตัดสินใจว่าการเทรดที่เปิดอยู่นั้นยังคงเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ โดยส่วนใหญ่จะวางหยุดขาดทุนในจุดที่เส้น Parabolic SAR และราคาตัดกัน ซึ่งหากราคาขึ้นเหนือเส้น Parabolic SAR แสดงว่าตลาดอยู่ในสถานการณ์เทรนด์ขึ้น และนักเทรดสามารถกำหนดให้หยุดขาดทุนอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าเส้น Parabolic SAR เพื่อป้องกันการสูญเสียทุนจากการแกว่งขึ้น-ลงของราคา
สำหรับการวางหยุดกำไร (take profit) นักเทรดสามารถใช้ Parabolic SAR เพื่อช่วยกำหนดจุดที่เหมาะสมในการนำเงินกลับมาเป็นกำไร โดยส่วนใหญ่จะตั้งหยุดกำไรในจุดที่เส้น Parabolic SAR และราคาตัดกัน หรืออาจจะตั้งหยุดกำไรอยู่ที่จุดที่ราคาพุ่งขึ้นเกินกว่าเส้น Parabolic SAR ซึ่งแสดงว่าตลาดอยู่ในสถานการณ์เทรนด์ขึ้น
นอกจากนั้น การวางหยุดขาดทุนและหยุดกำไรด้วย Parabolic SAR ยังต้องพิจารณาด้วยสถานการณ์ตลาดปัจจุบัน และความเสี่ยงที่พร้อมจะรับได้ของนักเทรดแต่ละคนด้วย ดังนั้นการวางหยุดขาดทุนและหยุดกำไรด้วย Parabolic SAR จึงเป็นเพียงแนวทางหนึ่งในการบริหารความเสี่ยงในการเทรดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และนักเทรดควรฝึกฝนการใช้ Parabolic SAR ร่วมกับกลยุทธ์การเทรดอื่นๆ เพื่อสร้างผลกำไรที่เหมาะสมและมีความเสี่ยงต่ำในการเทรดในตลาดทุกๆ สถานการณ์
การดูจุดไข่ปลาของ Parabolic SAR
- จุดไข่ปลา อยู่ใต้ราคา (Rising SAR) แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น
- จุดไข่ปลา อยู่เหนือราคา (Falling SAR) แสดงถึงแนวโน้มขาลง
- และเมื่อราคาทะลุฝั่งใดฝั่งหนึ่งของ จุดไข่ปลา จะเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแนวโน้มของราคา
สูตร
Previous SAR + Previous AF * (Previous EP – Previous SAR) = Current SAR |
- EP = ราคาสูงสุดในระยะเวลาที่กำหนด
- EPn = ราคาสูงสุดในระยะเวลา n
- AF = ความเร็วของการเปลี่ยนแปลงของตัวบ่งชี้
- AFn = ค่า AF ในระยะเวลา n
- SARn = ค่า Parabolic SAR ในระยะเวลา n
- สำหรับแรกเราต้องกำหนดค่าสำหรับ Parabolic SAR ในช่วงแรก โดยสำหรับหลักการนี้ จะใช้ราคาสูงสุดและต่ำสุดของราคา ในระยะเวลา 2 วันแรกในการคำนวณค่าเริ่มต้น
- หลังจากนั้นเราจะใช้สูตร Parabolic SAR ในการคำนวณค่าต่อไป โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
- หาค่า EP โดยใช้ราคาสูงสุดของแท่งเทียนก่อนหน้านี้ หรือ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงราคาสูงขึ้น จะใช้ราคาสูงสุดปัจจุบันแทน
- หาค่า AF โดยใช้ค่าเริ่มต้นเท่ากับ 0.02 และสูงสุดไม่เกิน 0.20
- หาค่า Parabolic SAR ในระยะเวลาปัจจุบัน โดยใช้สูตร SARn = SARn-1 + AFn(EPn-1 – SARn-1)
- ในกรณีที่ราคาขาลง จะเปลี่ยนค่า EP เป็นราคาต่ำสุดแทน และกำหนดค่า AF ใหม่ตามเงื่อนไข
สังเกตได้ว่าสูตร Parabolic SAR เป็นสูตรที่เปลี่ยนแปลงค่าตามความเร็วของราคาและความแปรปรวนของตลาด ทำให้เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้รับมือกับสภาวะของตลาด
การคำนวณ
ในการทำความเข้าใจ Parabolic SAR อันดับแรก สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่ากราฟมีลักษณะอย่างไร โดยทั่วไปแล้ว SAR จะแสดงเป็นเส้นประที่แสดงควบคู่ไปกับราคาของสินทรัพย์ โดยทั่วไป เมื่อสินทรัพย์กำลังเพิ่มขึ้น SAR จะแสดงต่ำกว่าราคา และเมื่อสินทรัพย์กำลังลดลง SAR จะแสดงเหนือราคา การซื้อหรือการกลับตัวจะส่งสัญญาณเมื่อราคาข้ามด้านบนหรือด้านล่าง Parabolic SAR
- สำหรับวันแรกของการเข้าสู่หรือการกลับตัว SAR คือ EP ก่อนหน้า (Extreme Point) ซึ่งเป็นจุดสูงสุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้นหรือจุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง
- หากเข้าสู่ Long (ขาขึ้น) EP จะเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในขณะที่อยู่ในการซื้อขาย Short ก่อนหน้า
- หากเข้าสู่ Short (แนวโน้มขาลง) EP จะเป็นราคาสูงสุดในขณะที่อยู่ในการซื้อขาย Long ก่อนหน้า
- สำหรับวันที่สองและหลังจากนั้น SAR จะคำนวณในลักษณะเฉพาะ ขึ้นอยู่กับว่าสินทรัพย์อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง หากสินทรัพย์อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น การคำนวณจะมีลักษณะดังนี้:
- ค้นหาความแตกต่างระหว่างราคาสูงสุดที่ทำได้ในการซื้อขาย (EP) และ SAR ในวันนั้น คูณความแตกต่างด้วย AF (ปัจจัยการเร่งความเร็ว – กำหนดความไวของ SAR) และเพิ่มผลลัพธ์ลงใน SAR ปัจจุบันเพื่อรับ SAR สำหรับวันถัดไป
- ใช้ค่าเริ่มต้น (ดูภาพด้านล่าง 0.02 ตามค่าเริ่มต้น) สำหรับ AF แรก และเพิ่มส่วนเพิ่ม (0.02 ตามค่าเริ่มต้น) ในแต่ละวันที่มีการสร้างจุดสูงสุดใหม่สำหรับการซื้อขาย หากไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ ให้ใช้ AF ต่อไปเหมือนที่เคยเพิ่มขึ้นครั้งล่าสุด อย่าเพิ่ม AF เกินค่าสูงสุด (0.2 ตามค่าเริ่มต้น)
หากอยู่ในแนวโน้มขาลง การคำนวณจะมีลักษณะดังนี้:
- ค้นหาความแตกต่างระหว่างราคาต่ำสุดที่ทำขึ้นในขณะที่อยู่ในการซื้อขาย (EP) และ SAR ในวันปัจจุบัน คูณผลต่างด้วย AF และเพิ่มผลลัพธ์ไปยัง SAR ปัจจุบันเพื่อรับ SAR สำหรับวันพรุ่งนี้
- ใช้ค่าเริ่มต้น (0.02 ตามค่าเริ่มต้น) สำหรับ AF แรก และเพิ่มส่วนเพิ่ม (0.02 ตามค่าเริ่มต้น) ในแต่ละวันที่มีการสร้างจุดต่ำสุดใหม่สำหรับการซื้อขาย หากไม่สร้างจุดต่ำสุดใหม่ ให้ใช้ AF ต่อไปเหมือนที่เคยเพิ่มขึ้นครั้งล่าสุด อย่าเพิ่ม AF เกินค่าสูงสุด (0.2 ตามค่าเริ่มต้น)
ย้าย SAR
สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าห้าม ไปยังช่วงของวันก่อนหน้าหรือวันใดๆ ก่อนหน้านั้น
- หากอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ห้ามขยับ SAR ปัจจุบันเหนือระดับต่ำสุดของวันก่อนหน้าหรือของวันก่อนหน้านั้น หาก SAR ถูกคำนวณให้สูงกว่าค่าเหล่านั้น ให้ใช้ค่าต่ำสุดที่ต่ำกว่าระหว่างวันก่อนหน้าและวันก่อนหน้านั้นเป็น SAR ใหม่ ทำการคำนวณของวันถัดไปตามนี้
- หากอยู่ในแนวโน้มขาลง อย่าขยับ SAR ปัจจุบันให้ต่ำกว่าระดับสูงสุดของวันก่อนหน้าหรือของวันก่อนหน้านั้น หากคำนวณ SAR ให้ต่ำกว่าค่าเหล่านั้น ให้ใช้ค่าสูงสุดที่สูงกว่าของวันก่อนหน้าและวันก่อนหน้านั้นเป็น SAR ใหม่ ทำการคำนวณของวันถัดไปตาม SAR นี้
การคำนวณ SAR ค่อนข้างซับซ้อน
การคำนวณ SAR ค่อนข้างซับซ้อน เพราะส่วนใหญ่แล้ว Indicator ทั่วไป จะคำนวณในรูปแบบสูตรทางคณิตศาสตร์ (Mathematical) แบบ 100% แต่ Parabolic SAR จะใช้การทั้ง Mathematical และ Logical ด้วย (ถ้า ขึ้น จะคำนวณแบบนี้ , ถ้า ลง จะคำนวณอีกแบบนึง) ทำให้การคำนวณนั้นค่อนข้างซับซ้อนกว่าอินดิเคเตอร์ที่นิยมโดยทั่วๆไปตัวอื่นๆ
จะแบ่งการคำนวณออกเป็น 2 แบบ คือ
- Rising SAR
- Falling SAR
1.Rising SAR (จุดใต้ราคา)
- Prior SAR: ค่า SAR ก่อนหน้า
- Extreme Point (EP): ค่า High สูงสุดในช่วงขาขึ้น
- Acceleration Factor (AF): เริ่มต้นการคำนวณที่ 0.02 และจะบวกเพิ่มทีละ 0.02 เมื่อ EP ทำ New high โดย AF จะมีค่าสูงสุดที่ 0.20 (ถ้า Uptrend ขึ้นต่อเนื่อง ก็ยังคง Limit ไว้ที่ 0.20)
- Current SAR = Prior SAR + Prior AF(Prior EP – Prior SAR)
2.Failling SAR
- Prior SAR: ค่า SAR ก่อนหน้า
- Extreme Point (EP): ค่า Low ต่ำสุดในช่วงขาลง
- Acceleration Factor (AF): เริ่มต้นการคำนวณที่ 0.02 และจะบวกเพิ่มทีละ 0.02 เมื่อ EP ทำ New Low โดย AF จะมีค่าสูงสุดที่ 0.20
- Current SAR = Prior SAR – Prior AF(Prior SAR – Prior EP)
จากสูตรการคำนวณนั้น จะบอกได้อย่างไรว่า เทรนจะเปลี่ยนตอนไหน?
- ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น : ถ้าราคาลงมาต่ำกว่าค่า SAR จะเป็นการบ่งชี้ว่า ขาลงของ Parabolic SAR ได้เริ่มขึ้น
- ในช่วงแนวโน้มขาลง : ถ้าราคาขึ้นสูงกว่าค่า SAR จะเป็นการบ่งชี้ว่า ขาขึ้นของ Parabolic SAR ได้เริ่มขึ้น
การตั้งค่าการใช้งาน
การตั้งค่าการใช้งาน มีปัจจัยเริ่มต้นคือ 0.02 ขั้นตอนราคาคือ 0.02 และ AF สูงสุดคือ 0.2 เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ใช้การตั้งค่าเหล่านี้สำหรับพาราโบลา กรอบพารามิเตอร์ทำให้สามารถซื้อขายในกรอบเวลาทั่วไปส่วนใหญ่ที่อยู่เหนือ H1 และรับสัญญาณซื้อและขาย
ยิ่งปัจจัยเร่งต่ำเท่าไหร่ก็จะยิ่งตามราคาน้อยลงเท่านั้น ในทางกลับกัน ยิ่งปัจจัยเร่งสูงเท่าไหร่ ราคาก็จะยิ่งขยับเข้าใกล้มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นการเพิ่มปัจจัยจะเพิ่มความไวของ PSAR ในขณะที่ลดระดับลง เราจะใช้คุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดการตั้งค่าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกรอบเวลาต่างๆ
ในการตั้งค่า Parabolic SAR จะขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรดและการวิเคราะห์ของนักเทรดแต่ละคน แต่มีบางขั้นตอนที่นักเทรดสามารถใช้เพื่อช่วยกำหนดค่าตั้งต้นได้ ดังนี้
กำหนดระยะเวลาสำหรับ Parabolic SAR
- การตั้งค่าเวลาในการคำนวณ Parabolic SAR จะขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรดของนักเทรดแต่ละคน แต่เวลาที่นิยมใช้มากในการวิเคราะห์เทรดแบบรายวันคือ 24 ชั่วโมง หรือระยะเวลา 60 นาที
- กำหนดค่าสำหรับเริ่มต้นของ Parabolic SAR คือ เมื่อเริ่มต้นใช้ Parabolic SAR ค่าตั้งต้นจะต้องกำหนดให้ตรงกับราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลา 2 วันแรก หลังจากนั้นค่าจะถูกคำนวณตามสูตร Parabolic SAR ต่อไป
- กำหนดค่า AF (Acceleration Factor) คือ ค่า AF ใช้เพื่อกำหนดความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของ Parabolic SAR เมื่อตลาดเคลื่อนไหวเข้าใกล้ Parabolic SAR ค่า AF จะเพิ่มขึ้น จนถึงระดับสูงสุดที่กำหนดไว้ ส่วนใหญ่จะกำหนดให้ค่า AF เริ่มต้นเท่ากับ 0.02 และสูงสุดไม่เกิน 0.20
- กำหนดการใช้ Parabolic SAR เพื่อวางหยุดขาดทุนและหยุดกำไร การใช้ Parabolic SAR เพื่อวางหยุดขาดทุนและหยุดกำไรจะขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรดแต่ละคน
PSAR ใช้คู่กับอะไร
Parabolic SAR เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคในการซื้อขายที่สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น ฟิวเจอร์ส และสกุลเงินดิจิทัล ดังนั้นสามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือประเภทอื่นๆได้ และที่นิยมมากที่สุดที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่นิยมใช้กัน สามารถใช้ร่วมกับ Parabolic SAR คือ
PSAR ใช้คู่ Moving Average
Moving Average ใช้เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของราคาหุ้น โดยสามารถใช้เส้น MA เพื่อหาแนวรับแนวต้านที่สำคัญ เพื่อใช้เป็นจุดเข้า-ออกในการซื้อขาย
PSAR ใช้คู่ Relative Strength Index (RSI)
Relative Strength Index (RSI): ช่วยในการวิเคราะห์หุ้นที่มีการซื้อขายเป็นเวลานาน โดย RSI ช่วยในการตรวจสอบว่าหุ้นมีความเป็นมาตรฐานหรือไม่ และว่ามีความเสี่ยงในการแกว่งไปจากการซื้อขายเป็นเวลานานหรือไม่
PSAR ใช้คู่ Bollinger Bands
Bollinger Bands: ช่วยในการตรวจสอบการแกว่งของราคาหุ้น โดย Bollinger Bands ช่วยให้คุณเห็นขอบเขตของความคาดหวังที่เป็นไปได้ของการซื้อขายและมีสัญญาณเข้า-ออกในการซื้อขาย
PSAR ใช้คู่ MACD (Moving Average Convergence Divergence)
MACD (Moving Average Convergence Divergence): ช่วยในการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มราคาและสัญญาณการซื้อขายของหุ้น โดย MACD ช่วยให้คุณเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงในการซื้อขายหรือไม่ และใช้เส้นสัญญาณเพื่อช่วยในการตรวจสอบแนวโน้มได้
การทำกำไรด้วย Parabolic SAR ใน Tradingview
การใช้ Parabolic SAR เพื่อทำกำไรใน Tradingview สามารถทำได้โดยการตามระบบเทรดที่ใช้ Parabolic SAR เป็นอีกหนึ่งตัวบ่งชี้ทางเทคนิค โดยมีขั้นตอนดังนี้:
- เลือกหุ้น ฟิวเจอร์ส และสกุลเงินดิจิทัล ที่คุณสนใจและเปิดแผนภูมิเทียบกับช่วงเวลาที่คุณต้องการซื้อหรือขาย
- เลือก Parabolic SAR จากเครื่องมือการวิเคราะห์เทคนิคบน Tradingview และปรับค่าของ Parabolic SAR ตามต้องการ
- ยกตัวอย่างเช่น ค่าเริ่มต้นของ Parabolic SAR คือ 0.02 และสามารถปรับเป็น 0.01 เพื่อเพิ่มความไวในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา
เมื่อมีสัญญาณซื้อหรือขายที่ปรากฏบนแผนภูมิ เช่น สัญญาณซื้อของ Parabolic SAR เมื่อเส้นกราฟตัดกับ Parabolic SAR จากด้านล่างขึ้นไปด้านบน และ RSI สัญญาณซื้อเมื่อเส้น RSI ตัดเส้นกลางขึ้นไปด้านบน คุณสามารถเปิดซื้อได้
แต่ถ้ามีสัญญาณขายเมื่อเส้นกราฟของหุ้นตัดกับ Parabolic SAR จากด้านบนลงมาด้านล่าง และ RSI สัญญาณขายเมื่อเส้น RSI ตัดเส้นกลางลงมาด้านล่าง คุณสามารถเปิดขายได้
ก่อนจะทำกำไรได้นั้น ควรต้องทำความรู้จักเครื่องมือที่จะใช้ก่อน อย่าง Parabolic SAR (Stop and Reverse) นิยมใช้เป็นตัวบอกสัญญาณแบบเทรนด์ตามที่ใช้ในการวิเคราะห์กราฟราคาหุ้น ฟิวเจอร์ส และสกุลเงินดิจิทัล หรือสินทรัพย์อื่นๆ โดยพื้นฐานแล้ว มันถูกใช้เพื่อช่วยในการตัดสินใจในการเปิดและปิดตำแหน่งซื้อขาย โดยตัวบอกสัญญาณนี้จะทำการวาดเส้นซึ่งจะแสดงแนวโน้มของตลาดและจะช่วยให้นักเทรดสามารถตรวจสอบแนวรับและแนวต้านได้ง่ายขึ้น
ในกรณีที่ตลาดอยู่ในสถานการณ์เทรนด์ขึ้น (uptrend)
นักเทรดสามารถใช้ Parabolic SAR เพื่อจะวางหยุดขาดทุน (stop loss) และเปลี่ยนเป็นหยุดกำไร (take profit) ในแต่ละขั้นตอนของการเคลื่อนไหวของราคา โดยเมื่อเส้น Parabolic SAR อยู่ใต้ราคา จะแสดงถึงแนวรับของตลาด ในขณะที่เมื่อเส้น Parabolic SAR อยู่เหนือราคา จะแสดงถึงแนวต้านของตลาด
ในกรณีที่ตลาดอยู่ในสถานการณ์เทรนด์ลง (downtrend)
นักเทรดสามารถใช้ Parabolic SAR เพื่อจะวางหยุดขาดทุน (stop loss) และเปลี่ยนเป็นหยุดกำไร (take profit) ในแต่ละขั้นตอนของการเคลื่อนไหวของราคา โดยเมื่อเส้น Parabolic SAR อยู่เหนือราคา จะแสดงถึงแนวรับของตลาด ในขณะที่เมื่อเส้น Parabolic SAR อยู่ใต้ราคา จะแสดงถึงแนวต้านของตลาด
สรุป
ถ้าใครลองเทรดหรือลองดูกราฟย้อนหลังแล้วจะเห็นได้ว่า Parabolic SAR จะไม่เหมาะกับตลาดที่เป็น Sideway ดังนั้น Wilder จึงแนะนำให้ใช้ Directional Movement Index (DMI) และ Commodity Selection Index (CCI) ในการเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเทรด แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาก็อยู่ที่ตัวเทรดเดอร์เองด้วยว่า ถนัด และมีการจำกัดความเสี่ยงของตัวเองไว้แบบไหน การมีเครื่องมีที่ดีเข้ามาช่วยก็ยิ่งทำให้ประสบความสำเร็จได้เร็วและง่ายขึ้น
เรียกง่ายๆ ว่า Parabolic SAR เป็นตัวบ่งชี้ที่ทรงพลังและมีเอกลักษณ์ มันทำงานได้ดีที่สุดในตลาดที่มีแนวโน้มทั้งขาขึ้นและขาลง แต่อย่างไรก็ตามในตลาด sideways มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับสัญญาณที่ผิดพลาด SAR จะทำงานร่วมกับตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆได้ดี อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในส่วนเนื้อหาข้างใน
FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง