overbought oversold คือ อะไร วิธีการดู

IUX Markets Bonus

ในการซื้อขายในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟอเร็กซ์ คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินทรัพย์อื่นๆ เทรดเดอร์และนักลงทุนมักจะได้ยินคำว่า “overbought” และ “oversold” อยู่บ่อยครั้ง แต่คำเหล่านี้หมายถึงอะไร และมีความสำคัญอย่างไรต่อการตัดสินใจซื้อขาย? บทความนี้จะอธิบายแนวคิดของ overbought และ oversold อย่างละเอียด รวมถึงวิธีการระบุสภาวะเหล่านี้และการนำไปใช้ในการวิเคราะห์ตลาด

Overbought คืออะไร?

Overbought หมายถึงสภาวะที่ราคาของสินทรัพย์ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงเกินไป จนทำให้มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลดลงในอนาคตอันใกล้ ในสภาวะ overbought นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าสินทรัพย์นั้นมีราคาสูงเกินกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น (overvalued)

Overbought หรือ OVB คืออะไร
Overbought หรือ OVB คืออะไร

สาเหตุที่ทำให้เกิดสภาวะ overbought อาจมาจากหลายปัจจัย เช่น:

  1. กระแสข่าวดีที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์นั้น
  2. ความคาดหวังที่สูงเกินจริงของนักลงทุน
  3. การเก็งกำไรระยะสั้นที่มากเกินไป
  4. การซื้อตามกระแสของนักลงทุนรายย่อย (FOMO – Fear of Missing Out)

เมื่อสินทรัพย์อยู่ในสภาวะ overbought นักเทรดมักจะระมัดระวังในการเปิดสถานะซื้อ (long position) เพิ่มเติม และอาจพิจารณาการปิดสถานะซื้อที่มีอยู่ หรือเปิดสถานะขาย (short position) เพื่อทำกำไรจากการปรับฐานของราคา

Oversold คืออะไร?

Oversold เป็นสภาวะตรงกันข้ามกับ overbought โดยหมายถึงสถานการณ์ที่ราคาของสินทรัพย์ได้ลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงเกินไป จนทำให้มีโอกาสสูงที่ราคาจะฟื้นตัวขึ้นในอนาคตอันใกล้ ในสภาวะ oversold นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าสินทรัพย์นั้นมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น (undervalued)

Oversold คืออะไร
Oversold คืออะไร

สาเหตุที่ทำให้เกิดสภาวะ oversold อาจมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น:

  1. กระแสข่าวร้ายที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์นั้น
  2. ความกลัวและความตื่นตระหนกของนักลงทุน
  3. การขายทำกำไรที่มากเกินไปในระยะสั้น
  4. การขายตามกระแสของนักลงทุนรายย่อย (panic selling)
HFM Market Promotion

เมื่อสินทรัพย์อยู่ในสภาวะ oversold นักเทรดมักจะระมัดระวังในการเปิดสถานะขาย (short position) เพิ่มเติม และอาจพิจารณาการปิดสถานะขายที่มีอยู่ หรือเปิดสถานะซื้อ (long position) เพื่อทำกำไรจากการฟื้นตัวของราคา

ความสำคัญของการระบุสภาวะ Overbought และ Oversold

การสามารถระบุสภาวะ overbought และ oversold มีความสำคัญอย่างมากสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุน เนื่องจากช่วยให้:

Overbought Oversold คืออะไร
Overbought Oversold คืออะไร
  1. ระบุจุดเข้าซื้อหรือขายที่มีโอกาสทำกำไรสูง
  2. หลีกเลี่ยงการเปิดสถานะในทิศทางที่ผิด
  3. ประเมินความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน
  4. เข้าใจจังหวะและแนวโน้มของตลาดได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ overbought และ oversold เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการตัดสินใจซื้อขาย ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น

วิธีการดูและระบุสภาวะ Overbought และ Oversold

การระบุสภาวะ overbought และ oversold สามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่นิยมใช้มากที่สุดคือการใช้ oscillator ซึ่งเป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ช่วยวัดโมเมนตัมของราคา ต่อไปนี้เป็นวิธีการและเครื่องมือที่นิยมใช้ในการระบุสภาวะ overbought และ oversold:

1. Relative Strength Index (RSI)

RSI เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการระบุสภาวะ overbought และ oversold RSI วัดความแรงของการเคลื่อนไหวของราคาโดยเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของราคาขึ้นกับราคาลง

RSI 7 เปรียบเทียบ RSI 14
RSI 7 เปรียบเทียบ RSI 14

วิธีการดู RSI:

  • RSI มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100
  • โดยทั่วไป ค่า RSI มากกว่า 70 ถือว่าเป็นสภาวะ overbought
  • ค่า RSI น้อยกว่า 30 ถือว่าเป็นสภาวะ oversold
  • ค่าตั้งต้นของ RSI มักใช้ช่วงเวลา 14 วัน แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม

ข้อควรระวัง:

  • ในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน RSI อาจอยู่ในโซน overbought หรือ oversold เป็นเวลานาน
  • ควรใช้ RSI ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อยืนยันสัญญาณ

2. Stochastic Oscillator

Stochastic Oscillator เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือยอดนิยมที่ใช้ในการระบุสภาวะ overbought และ oversold โดยเปรียบเทียบราคาปิดล่าสุดกับช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด

Stochastic Oscillator
Stochastic Oscillator

วิธีการดู Stochastic Oscillator:

  • Stochastic มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100
  • โดยทั่วไป ค่ามากกว่า 80 ถือว่าเป็นสภาวะ overbought
  • ค่าน้อยกว่า 20 ถือว่าเป็นสภาวะ oversold
  • Stochastic ประกอบด้วยเส้น %K และ %D ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของ %K

ข้อควรระวัง:

  • Stochastic มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคามากกว่า RSI
  • ในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน Stochastic อาจให้สัญญาณผิดพลาดบ่อยครั้ง

3. Bollinger Bands

Bollinger Bands ไม่ใช่ oscillator แต่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการระบุสภาวะ overbought และ oversold ได้เช่นกัน โดยแสดงเป็นแถบราคาที่อยู่รอบๆ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

bollinger band ใช้ยังไง ภาพที่ 1
bollinger band ใช้ยังไง ภาพที่ 1

วิธีการดู Bollinger Bands:

  • ประกอบด้วยแถบบน กลาง และล่าง
  • เมื่อราคาแตะหรือทะลุแถบบน อาจถือเป็นสัญญาณ overbought
  • เมื่อราคาแตะหรือทะลุแถบล่าง อาจถือเป็นสัญญาณ oversold
  • ความกว้างของแถบแสดงถึงความผันผวนของราคา

ข้อควรระวัง:

  • การที่ราคาแตะแถบบนหรือล่างไม่ได้หมายความว่าจะเกิดการกลับตัวของราคาเสมอไป
  • ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อยืนยันสัญญาณ

4. Williams %R

Williams %R เป็น oscillator ที่คล้ายกับ Stochastic แต่มีการคำนวณที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยวัดระดับ overbought และ oversold จากการเปรียบเทียบราคาปิดกับช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด

2.William Percent Range (Wpr Indicator) การใช้งาน
2.William Percent Range (Wpr Indicator) การใช้งาน

วิธีการดู Williams %R:

  • มีค่าตั้งแต่ -100 ถึง 0
  • ค่าระหว่าง -20 ถึง 0 ถือเป็นสภาวะ overbought
  • ค่าระหว่าง -100 ถึง -80 ถือเป็นสภาวะ oversold
  • ช่วงเวลาที่นิยมใช้คือ 14 วัน

ข้อควรระวัง:

  • Williams %R มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาสูง อาจให้สัญญาณเร็วเกินไป
  • ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อลดสัญญาณหลอก

5. Money Flow Index (MFI)

Money Flow Index เป็น oscillator ที่คล้ายกับ RSI แต่นำปริมาณการซื้อขาย (volume) มาร่วมพิจารณาด้วย ทำให้สามารถวัดแรงซื้อและแรงขายได้แม่นยำยิ่งขึ้น

วิธีการดู MFI:

  • MFI มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100
  • ค่ามากกว่า 80 ถือเป็นสภาวะ overbought
  • ค่าน้อยกว่า 20 ถือเป็นสภาวะ oversold
  • ช่วงเวลาที่นิยมใช้คือ 14 วัน

ข้อควรระวัง:

  • MFI อาจให้สัญญาณที่แตกต่างจาก RSI เนื่องจากมีการนำปริมาณการซื้อขายมาพิจารณา
  • ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์แนวโน้มและเครื่องมืออื่นๆ เพื่อยืนยันสัญญาณ

การนำ Overbought และ Oversold ไปใช้ในการเทรด

การระบุสภาวะ overbought และ oversold เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์ตลาด การนำข้อมูลนี้ไปใช้ในการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการนำ overbought และ oversold ไปใช้ในการเทรด:

RSI overbought oversold
RSI overbought oversold
  1. ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์แนวโน้ม
    • ในตลาดขาขึ้น (uptrend) สัญญาณ oversold มักจะมีประสิทธิภาพมากกว่าสัญญาณ overbought
    • ในตลาดขาลง (downtrend) สัญญาณ overbought มักจะมีประสิทธิภาพมากกว่าสัญญาณ oversold
  2. ยืนยันสัญญาณด้วยเครื่องมือหลายตัว
    • ใช้ oscillator หลายตัวร่วมกัน เช่น RSI และ Stochastic
    • ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์แนวรับแนวต้าน (Support and Resistance)
  3. รอการยืนยันจากแท่งเทียน (Candlestick Patterns)
    • รอให้เกิดรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งชี้การกลับตัวก่อนเปิดสถานะ
    • ตัวอย่างเช่น Hammer ในสภาวะ oversold หรือ Shooting Star ในสภาวะ overbought
  4. พิจารณาปัจจัยพื้นฐาน
    • ตรวจสอบข่าวสารและปัจจัยพื้นฐานที่อาจส่งผลต่อราคา
    • ประเมินว่าการเคลื่อนไหวของราคาสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานหรือไม่
  5. ใช้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเทรด
    • กำหนดจุดเข้าซื้อขายโดยใช้สัญญาณ overbought และ oversold
    • ใช้ในการกำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit
  6. ระวังในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มชัดเจน
    • ในตลาดที่มีแนวโน้มแรง สัญญาณ overbought และ oversold อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน
    • อาจต้องปรับค่าเกณฑ์ของ oscillator ให้สูงขึ้นหรือต่ำลงในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มชัดเจน
  7. ใช้ในการระบุการแกว่งตัว (Swing Trading)
    • สัญญาณ overbought และ oversold สามารถใช้ในการระบุจุดสูงสุดและต่ำสุดของการแกว่งตัวได้
    • เหมาะสำหรับการเทรดในกรอบราคา (Range Trading)
  8. พิจารณาการเบี่ยงเบนของ oscillator (Divergence)
    • หากราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ oscillator ไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัว
    • เช่นเดียวกัน หากราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ oscillator ไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ ก็อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวเช่นกัน
  9. ใช้ในการจัดการความเสี่ยง
    • ลดขนาดการเทรดเมื่อเข้าสู่โซน overbought หรือ oversold
    • พิจารณาปิดสถานะบางส่วนเมื่อราคาเข้าสู่โซน overbought หรือ oversold
  10. ปรับใช้ให้เหมาะสมกับ timeframe
    • สัญญาณ overbought และ oversold บน timeframe ที่ยาวกว่ามักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า
    • ใช้ multiple timeframe analysis เพื่อยืนยันสัญญาณ

ข้อจำกัดและข้อควรระวังในการใช้ Overbought และ Oversold

แม้ว่าการวิเคราะห์สภาวะ overbought และ oversold จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดและข้อควรระวังที่ควรคำนึงถึง:

การใช้ RSI Overbought และ Oversold
การใช้ RSI Overbought และ Oversold
  1. สัญญาณหลอก (False Signals)
    • อาจเกิดสัญญาณหลอกได้บ่อย โดยเฉพาะในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน
    • ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อลดโอกาสการเกิดสัญญาณหลอก
  2. ความล่าช้าของสัญญาณ
    • oscillator บางตัวอาจให้สัญญาณล่าช้า ทำให้พลาดโอกาสในการเทรด
    • ควรพิจารณาปรับค่าพารามิเตอร์ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดและสไตล์การเทรดของตนเอง
  3. ไม่เหมาะสำหรับทุกสภาวะตลาด
    • ในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน การใช้สัญญาณ overbought และ oversold อาจไม่มีประสิทธิภาพ
    • ควรประเมินสภาพตลาดก่อนนำไปใช้
  4. ความแตกต่างระหว่างสินทรัพย์
    • แต่ละสินทรัพย์อาจมีพฤติกรรมราคาที่แตกต่างกัน
    • ควรปรับค่าเกณฑ์ของ oscillator ให้เหมาะสมกับแต่ละสินทรัพย์
  5. ไม่ควรใช้เป็นสัญญาณเดี่ยว
    • การใช้สัญญาณ overbought และ oversold เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
    • ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ
  6. ความเสี่ยงในการเทรดสวนแนวโน้ม
    • การเทรดตามสัญญาณ overbought และ oversold อาจทำให้เทรดสวนแนวโน้มหลัก
    • ควรระมัดระวังในการใช้สัญญาณเหล่านี้ในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน
  7. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมาย
    • overbought ไม่ได้หมายความว่าราคาจะต้องลดลงเสมอไป
    • oversold ไม่ได้หมายความว่าราคาจะต้องเพิ่มขึ้นเสมอไป
  8. การปรับตัวของตลาด
    • ตลาดอาจปรับตัวให้เข้ากับการใช้ oscillator ที่เป็นที่นิยม
    • อาจต้องปรับกลยุทธ์การใช้งานเป็นระยะ

สรุป

การเข้าใจและสามารถระบุสภาวะ overbought และ oversold เป็นทักษะสำคัญสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุน เครื่องมือต่างๆ เช่น RSI, Stochastic Oscillator, Bollinger Bands, Williams %R และ Money Flow Index สามารถช่วยในการระบุสภาวะเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องมือเหล่านี้ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ

การนำ overbought และ oversold ไปใช้ในการเทรดควรเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเทรดที่ครอบคลุม ไม่ใช่เป็นเครื่องมือเดียวในการตัดสินใจ นักเทรดควรพัฒนาความเข้าใจในการใช้เครื่องมือเหล่านี้ ทดสอบกลยุทธ์ และปรับใช้ให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของตนเอง

ท้ายที่สุด การระบุสภาวะ overbought และ oversold เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์ตลาด การประสบความสำเร็จในการเทรดยังต้องอาศัยการจัดการความเสี่ยง วินัยในการเทรด และความเข้าใจในพื้นฐานของตลาดที่กำลังเทรดอยู่ ด้วยการฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นักเทรดสามารถใช้แนวคิด overbought และ oversold เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการเทรดได้

FOREXDUCK Logo

FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง

HFM Promotion