Pacific Broker เป็นโบรกเกอร์ Forex ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนักในวงการเทรดเดอร์ไทย แต่ก็มีประวัติและบริการน่าสนใจที่อาจดึงดูดใจนักลงทุนบางกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อมูลที่ค่อนข้างจำกัดและความไม่ชัดเจนบางประการ ทำให้หลายคนสงสัยว่า Pacific Broker ดีจริงหรือไม่ ปลอดภัยแค่ไหน เหมาะกับการเทรดระยะยาวหรือเปล่า วันนี้เราจะมารีวิวโบรกเกอร์นี้แบบ 360 องศา ทั้งในแง่ข้อดี ข้อเสีย ชื่อเสียงในตลาด และศักยภาพในการทำกำไร พร้อมแนะนำวิธีสมัครใช้งานและถอนเงินอย่างถูกต้อง เพื่อให้คุณมีข้อมูลเพียงพอก่อนตัดสินใจลงทุน มาเริ่มกันเลย!
10 ข้อเท็จจริงสำคัญที่ควรรู้ก่อนใช้บริการ Pacific Broker
- ประวัติและที่มาของโบรกเกอร์
- Pacific Broker เริ่มต้นในชื่อ Max Exchange Broker ก่อนจะเปลี่ยนชื่อในปี 2018
- ประกาศปิดสาขาในไทยไปเมื่อปี 2021 และหยุดการสนับสนุนภาษาไทยอย่างเป็นทางการ
- จดทะเบียนเป็นบริษัทในสหราชอาณาจักรตั้งแต่ปี 2019 แต่ยังไม่พบใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่น่าเชื่อถือ
- ที่อยู่บริษัทที่ UK ถูกระบุว่าปิดถาวร ทำให้สถานะทางกฎหมายค่อนข้างคลุมเครือ
- ความน่าเชื่อถือและมาตรฐานความปลอดภัย
- Pacific Broker ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานชั้นนำใดๆ ทั้ง FCA, ASIC, CySEC หรือ CFTC
- การขาดใบอนุญาตและข้อมูลอ้างอิงที่ชัดเจน อาจทำให้ความน่าเชื่อถือลดลงและมีความเสี่ยงต่อการโกงหรือปิดบริษัทหนีได้
- แม้จะอ้างว่าดำเนินการจาก UK แต่ Pacific Broker ก็ไม่ได้แสดงใบอนุญาต FCA ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญสำหรับโบรกเกอร์ที่ถูกกฎหมาย
- การไม่เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกของบริษัท เช่น ผู้บริหาร งบการเงิน หรือระบบรักษาความปลอดภัย ก็เป็นอีกหนึ่งข้อกังวลที่นักลงทุนควรระวัง
- แพลตฟอร์มเทรดและประเภทบัญชี
- Pacific Broker ให้บริการแพลตฟอร์ม MetaTrader4 (MT4) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ยอดนิยมสำหรับเทรด Forex โดยเฉพาะ
- MT4 มีฟีเจอร์และเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่หลากหลาย รองรับการเขียน Expert Advisor (EA) เพื่อเทรดอัตโนมัติได้ด้วย
- จุดเด่นของ MT4 คือความเสถียรของระบบ, การใช้งานที่ง่าย, การปรับแต่งได้เต็มที่ และมีกราฟราคาแบบเรียลไทม์
- โบรกเกอร์นี้มีบัญชีให้เลือกหลายแบบ เช่น Micro, Standard, ECN ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนหลายระดับ ตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงเทรดเดอร์มืออาชีพ
- สเปรด, เลเวอเรจ และค่าธรรมเนียมแฝง
- Pacific Broker ระบุว่ามีสเปรดต่ำและคำนวณแบบลอยตัว แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าเริ่มต้นที่เท่าไหร่กันแน่ในแต่ละคู่สกุลเงิน
- เลเวอเรจสูงสุดอยู่ที่ 1:500 ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานของโบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่าง FCA (จำกัดที่ 1:30)
- เลเวอเรจระดับนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงให้กับเทรดเดอร์มือใหม่ที่ยังขาดวินัยและไม่เข้าใจการบริหารความเสี่ยงเท่าที่ควร
- นอกจากนี้ Pacific Broker ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลเรื่องค่าคอมมิชชันหรือค่าธรรมเนียมอื่นๆที่ชัดเจน ซึ่งอาจแอบแฝงมากับสเปรดโดยที่เราไม่รู้ตัว
- ประเภทสินทรัพย์ที่ให้ซื้อขาย
- Pacific Broker มีตราสารทางการเงินให้เทรดค่อนข้างจำกัด ได้แก่ คู่สกุลเงิน Forex, ทองคำ, สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้นสำคัญ
- สำหรับคู่ Forex จะเน้นไปที่คู่เงินหลักและรองเป็นหลัก เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY, AUD/USD, USD/CAD ฯลฯ
- ในส่วนของทองคำ รองรับการเทรดทั้งแบบ Spot Gold และ Gold Futures ซึ่งอ้างอิงราคาตามตลาดโลก
- ดัชนีที่เปิดให้เทรดมี US30, SPX500, NAS100, UK100, GER30 แต่อาจมีสเปรดที่สูงกว่าคู่ Forex พอสมควร
- ช่องทางฝากและถอนเงิน
- Pacific Broker อนุญาตให้ลูกค้าฝากเงินได้หลายช่องทาง เช่น บัตรเครดิต/เดบิต, กระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ (Skrill, Neteller) และการโอนธนาคาร
- ในบรรดาวิธีการเหล่านี้ การจ่ายผ่านบัตรถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะสามารถเรียกเงินคืนได้หากเกิดปัญหาขึ้นภายใน 540 วัน
- สำหรับการถอนเงิน Pacific Broker ไม่ได้ให้ข้อมูลขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินการที่ชัดเจน อาจต้องสอบถามกับฝ่ายบริการลูกค้าเป็นกรณีๆไป
- อย่างไรก็ตาม การขาดใบอนุญาตของโบรกเกอร์นี้ ทำให้ความเสี่ยงในการถอนเงินไม่สำเร็จหรือล่าช้านั้นมีอยู่สูง จึงควรฝากถอนด้วยความระมัดระวัง
- ขั้นตอนการสมัครสมาชิก
- ลูกค้าที่สนใจสามารถเข้าสู่ระบบ Pacific Broker ได้ผ่านทางเว็บไซต์ www.pacificbroker.com
- จากนั้นเลือกเมนู “Open Live Account” เพื่อกรอกข้อมูลส่วนตัวเบื้องต้น เช่น ชื่อ-นามสกุล, อีเมล, เบอร์โทร และที่อยู่ปัจจุบัน
- เมื่อดำเนินการส่งแบบฟอร์มเรียบร้อยแล้ว ระบบจะส่งรหัสยืนยันมาทางอีเมลและ SMS เพื่อใช้ในการ login เข้าสู่บัญชีจริง
- หลังจาก login แล้ว ให้ไปที่เมนู “Deposit” เพื่อเลือกวิธีการฝากเงินที่สะดวก แล้วทำตามขั้นตอนในการชำระเงินให้ครบถ้วน
- วิธีการถอนเงินออกจากระบบ
- ในการถอนเงิน Pacific Broker กำหนดให้ลูกค้าต้องผ่านการยืนยันตัวตนให้สมบูรณ์เสียก่อน โดยส่งเอกสารที่จำเป็น เช่น สำเนาบัตรประชาชน, bank statement ฯลฯ
- เข้าสู่ระบบด้วย username และ password แล้วไปที่เมนู “Withdrawal” เพื่อกรอกรายละเอียดการถอน เช่น จำนวนเงิน, วิธีการรับเงิน
- ปกติการถอนครั้งแรกอาจใช้เวลานานกว่าปกติ เพราะต้องผ่านการตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามเงื่อนไขของโบรกเกอร์
- แนะนำให้ถอนผ่านช่องทางเดียวกับที่เคยฝากเข้ามา และตรวจสอบยอดเงินให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
- ข้อดีและข้อเสียโดยรวม
- ข้อดีของ Pacific Broker คือมีเงินฝากขั้นต่ำเพียง $1 จึงเข้าถึงได้ง่ายสำหรับนักลงทุนทุกระดับ
- แพลตฟอร์ม MT4 มีความเสถียรและใช้งานง่าย เหมาะกับการเทรดระยะสั้นและระยะกลาง
- มีสินทรัพย์ให้ซื้อขายหลากหลาย ทั้งคู่ Forex, ทองคำ, ดัชนี พอสำหรับสร้างพอร์ตที่กระจายความเสี่ยง
- ส่วนข้อเสียที่ชัดเจน คือการไม่มีใบอนุญาตและการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ จึงมีความเสี่ยงสูง
- ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะเรื่องความโปร่งใสทางการเงิน จึงยากที่จะสืบค้นและประเมินความน่าเชื่อถือ
- อีกทั้งเงื่อนไขการเทรดบางอย่าง เช่น เลเวอเรจที่สูงเกินไป และสเปรดที่ไม่ชัดเจน ก็อาจไม่เหมาะสมสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่ยังขาดประสบการณ์
- ทางเลือกอื่นๆที่น่าสนใจ
- หากคุณยังไม่มั่นใจที่จะใช้บริการของ Pacific Broker สามารถเลือกโบรกเกอร์ Forex อื่นๆที่มีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือสูงกว่าได้
- ตัวอย่างเช่น Exness, XM, FBS, Pepperstone, FXTM ล้วนเป็นโบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาตจาก FCA, CySEC หรือ ASIC
- โบรกเกอร์เหล่านี้มีประวัติการดำเนินงานที่ยาวนาน มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส และมีเครื่องมือช่วยเหลือมากมายให้กับลูกค้า
- นอกจากนี้ สเปรดและเงื่อนไขการเทรดโดยรวมของพวกเขา ก็ยังคงแข่งขันได้ดีและเป็นมิตรต่อนักลงทุนอีกด้วย
- ดังนั้น ก่อนตัดสินใจสมัคร Pacific Broker ขอแนะนำให้ลองเปรียบเทียบกับโบรกเกอร์อื่นๆดูก่อน เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
สรุป
Pacific Broker อาจเป็นโบรกเกอร์ Forex ที่ให้บริการน่าสนใจในแง่ของแพลตฟอร์มการเทรด ประเภทบัญชี และช่องทางการฝากถอนเงินที่หลากหลาย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความเสี่ยงและข้อกังวลหลายประการ เช่น การขาดใบอนุญาตและการกำกับดูแลที่เหมาะสม, ความไม่โปร่งใสของข้อมูลบริษัท และเงื่อนไขการเทรดที่ไม่เอื้อต่อมือใหม่ ดังนั้นก่อนจะสมัคร Pacific Broker ควรศึกษาและวิเคราะห์ให้รอบด้านเสียก่อน อย่าหลงเชื่อโฆษณาชวนเชื่อจนเกินไป และควรเปรียบเทียบกับโบรกเกอร์มาตรฐานอื่นๆประกอบด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะได้ร่วมลงทุนกับโบรกเกอร์ที่ไว้ใจได้และเติบโตไปพร้อมกันในระยะยาวนั่นเอง
FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง