rtm กับ smc ต่างกัน อย่างไร

IUX Markets Bonus

ในวงการเทรด Forex มีแนวคิดและวิธีการวิเคราะห์ตลาดหลากหลายรูปแบบ แต่มีสองแนวคิดที่ได้รับความนิยมและมีการพูดถึงกันมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นั่นคือ RTM (Read The Market) และ SMC (Smart Money Concept) ทั้งสองแนวคิดนี้มีจุดเด่นและแนวทางการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน แม้จะมีจุดร่วมบางประการ ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจและเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง RTM และ SMC กัน

rtm กับ smc ต่างกันอย่างไร
rtm กับ smc ต่างกันอย่างไร

RTM (Read The Market) คืออะไร

RTM หรือ Read The Market เป็นแนวคิดการวิเคราะห์ตลาด Forex ที่เน้นการอ่านพฤติกรรมราคาโดยตรง โดยไม่พึ่งพาอินดิเคเตอร์หรือเครื่องมือช่วยวิเคราะห์อื่นๆ มากนัก แนวคิดนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย IF Myante และได้รับความนิยมผ่านเว็บไซต์และฟอรั่ม ReadTheMarket.com

หลักการสำคัญของ RTM:

  1. การวิเคราะห์ Supply และ Demand: RTM ให้ความสำคัญกับการระบุโซน Supply และ Demand บนกราฟราคา ซึ่งเป็นบริเวณที่มีแรงซื้อหรือแรงขายสะสมอยู่
  2. โครงสร้างตลาด (Market Structure): RTM วิเคราะห์โครงสร้างตลาดผ่านรูปแบบต่างๆ เช่น RBD (Rally Base Drop), DBR (Drop Base Rally), FTR (Failure to Return) เป็นต้น
  3. Price Action Zones (PAZ): เป็นการระบุโซนราคาที่มีความสำคัญ ซึ่งอาจเกิดจากการรวมตัวของ Supply/Demand หรือรูปแบบ Price Action อื่นๆ
  4. Quasimodo (QM): เป็นรูปแบบ Price Action ที่ RTM ให้ความสำคัญ แสดงถึงจุดที่ราคามีการเปลี่ยนทิศทาง
  5. Compression: การวิเคราะห์การบีบตัวของราคาก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง

RTM เน้นการฝึกฝนให้นักเทรดสามารถ “อ่านตลาด” ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือช่วยวิเคราะห์มากนัก

SMC (Smart Money Concept) คืออะไร

SMC หรือ Smart Money Concept เป็นแนวคิดการวิเคราะห์ตลาดที่มุ่งเน้นการติดตามและเลียนแบบพฤติกรรมการเทรดของ “Smart Money” หรือนักลงทุนรายใหญ่ เช่น ธนาคารกลาง สถาบันการเงิน และกองทุนขนาดใหญ่ แนวคิดนี้เชื่อว่านักลงทุนรายใหญ่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด

ระบบเทรด Smart Money Concept คืออะไร
ระบบเทรด Smart Money Concept คืออะไร

หลักการสำคัญของ SMC:

  1. การวิเคราะห์โครงสร้างตลาด: SMC ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์โครงสร้างตลาดในระยะยาว เพื่อระบุทิศทางหลักของตลาด
  2. Order Blocks: เป็นโซนราคาที่เชื่อว่ามีการสะสมออเดอร์ของนักลงทุนรายใหญ่ มักเกิดก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวของราคาอย่างมีนัยสำคัญ
  3. Liquidity Grab: การวิเคราะห์จุดที่ราคามีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อดึงสภาพคล่องจากตลาด
  4. Fair Value Gaps (FVG): ช่องว่างของราคาที่เกิดจากการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ซึ่ง SMC เชื่อว่าราคาจะกลับมาปิดช่องว่างนี้ในอนาคต
  5. Breaker Blocks: จุดที่ราคาทะลุผ่านแนวต้านหรือแนวรับสำคัญ และกลับมาทดสอบอีกครั้ง
HFM Market Promotion

SMC มุ่งเน้นการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่ และพยายามเทรดตามทิศทางของพวกเขา

ความเหมือนระหว่าง RTM และ SMC

แม้ว่า RTM และ SMC จะมีแนวทางการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน แต่ก็มีจุดร่วมบางประการ ดังนี้:

  1. การวิเคราะห์ Price Action: ทั้งสองแนวคิดให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์พฤติกรรมราคาโดยตรง โดยไม่พึ่งพาอินดิเคเตอร์มากนัก
  2. การวิเคราะห์โครงสร้างตลาด: ทั้ง RTM และ SMC ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์โครงสร้างตลาดเพื่อระบุทิศทางหลักของราคา
  3. การระบุจุดสำคัญบนกราฟ: ทั้งสองแนวคิดมีวิธีการระบุจุดสำคัญบนกราฟ เช่น Supply/Demand Zones ใน RTM และ Order Blocks ใน SMC
  4. การใช้ Multiple Timeframes: ทั้ง RTM และ SMC สนับสนุนการวิเคราะห์หลายกรอบเวลาเพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุม
  5. การเน้นการฝึกฝนและประสบการณ์: ทั้งสองแนวคิดเน้นย้ำว่าการเทรดที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์

ความแตกต่างระหว่าง RTM และ SMC

แม้จะมีจุดร่วมบางประการ แต่ RTM และ SMC ก็มีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ:

ความแตกต่างระหว่าง RTM และ SMC
ความแตกต่างระหว่าง RTM และ SMC
  1. มุมมองต่อตลาด:
    • RTM: เน้นการ “อ่านตลาด” โดยตรงจากพฤติกรรมราคา โดยไม่พยายามคาดเดาว่าใครเป็นผู้ขับเคลื่อนราคา
    • SMC: มุ่งเน้นการวิเคราะห์และติดตามพฤติกรรมของ “Smart Money” หรือนักลงทุนรายใหญ่
  2. การระบุจุดสำคัญ:
    • RTM: ใช้แนวคิด Supply/Demand Zones และ Price Action Zones (PAZ)
    • SMC: ใช้แนวคิด Order Blocks, Liquidity Grab, และ Fair Value Gaps (FVG)
  3. รูปแบบ Price Action:
    • RTM: ให้ความสำคัญกับรูปแบบเฉพาะ เช่น Quasimodo (QM), Compression, 3 Drive
    • SMC: เน้นการวิเคราะห์ Breaker Blocks, Mitigation Blocks, และ Imbalance
  4. แนวคิดเรื่องสภาพคล่อง:
    • RTM: ไม่ได้เน้นเรื่องสภาพคล่องมากนัก แต่ให้ความสำคัญกับ Supply และ Demand
    • SMC: ให้ความสำคัญกับ Liquidity Grab และการวิเคราะห์สภาพคล่องในตลาด
  5. การใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์:
    • RTM: เน้นการอ่านกราฟแบบ “เปลือยเปล่า” โดยไม่ใช้อินดิเคเตอร์มากนัก
    • SMC: อาจใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น Volume Profile หรือ Order Flow
  6. มุมมองต่อการเคลื่อนไหวของราคา:
    • RTM: มองว่าการเคลื่อนไหวของราคาเกิดจากความไม่สมดุลระหว่าง Supply และ Demand
    • SMC: มองว่าการเคลื่อนไหวของราคาถูกขับเคลื่อนโดยนักลงทุนรายใหญ่
  7. การประยุกต์ใช้ในกรอบเวลาต่างๆ:
    • RTM: สามารถประยุกต์ใช้ได้ดีในทุกกรอบเวลา ตั้งแต่ M1 ไปจนถึง Monthly
    • SMC: มักนิยมใช้ในกรอบเวลาที่ยาวขึ้น เช่น H4, Daily, Weekly เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่
  8. ความซับซ้อนของแนวคิด:
    • RTM: มีหลักการพื้นฐานที่เข้าใจง่าย แต่ต้องอาศัยการฝึกฝนมากเพื่อให้เชี่ยวชาญ
    • SMC: มีแนวคิดที่ซับซ้อนกว่า เนื่องจากต้องพยายามเข้าใจพฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่
  9. การจัดการความเสี่ยง:
    • RTM: เน้นการใช้ Stop Loss ที่ชัดเจนตามโซน Supply/Demand
    • SMC: อาจใช้วิธีการจัดการความเสี่ยงที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การใช้ Trailing Stop ตาม Liquidity Levels
  10. แหล่งข้อมูลและการเรียนรู้:
    • RTM: มีแหล่งข้อมูลหลักจาก ReadTheMarket.com และชุมชนนักเทรด RTM
    • SMC: มีแหล่งข้อมูลกระจายตัวมากกว่า มีหลายสำนักและแนวทางย่อยๆ ภายใต้แนวคิด SMC

ข้อดีและข้อเสียของ RTM และ SMC

RTM VS SMC
RTM VS SMC

ข้อดีของ RTM:

  1. เข้าใจง่าย: หลักการพื้นฐานของ RTM ค่อนข้างตรงไปตรงมาและเข้าใจง่าย
  2. ไม่ต้องใช้อินดิเคเตอร์: เน้นการอ่านกราฟราคาโดยตรง ลดความซับซ้อนในการวิเคราะห์
  3. ยืดหยุ่นสูง: สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกกรอบเวลาและทุกคู่สกุลเงิน
  4. เน้นการฝึกฝน: ช่วยพัฒนาทักษะการอ่านกราฟของนักเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. ชุมชนที่เข้มแข็ง: มีชุมชนนักเทรด RTM ที่คอยแบ่งปันความรู้และประสบการณ์

ข้อเสียของ RTM:

  1. ต้องใช้เวลาฝึกฝน: ต้องอาศัยเวลาและประสบการณ์มากในการเชี่ยวชาญ
  2. อาจมีการตีความที่แตกต่าง: เนื่องจากเป็นการอ่านกราฟโดยตรง อาจมีการตีความที่แตกต่างกันระหว่างนักเทรด
  3. ขาดการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก: เน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก อาจละเลยปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ
  4. อาจไม่เหมาะกับนักเทรดที่ชอบใช้อินดิเคเตอร์: สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับการใช้อินดิเคเตอร์ อาจรู้สึกว่าขาดเครื่องมือช่วยวิเคราะห์

ข้อดีของ SMC:

  1. มุมมองที่ลึกซึ้ง: ให้มุมมองเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่ในตลาด
  2. เข้าใจกลไกตลาด: ช่วยให้เข้าใจวิธีการทำงานของตลาดในมุมมองของสถาบันการเงิน
  3. การวิเคราะห์ที่ครอบคลุม: รวมการวิเคราะห์ทั้งทางเทคนิคและพฤติกรรมตลาด
  4. เหมาะสำหรับการเทรดระยะกลางถึงยาว: เนื่องจากเน้นการวิเคราะห์พฤติกรรมนักลงทุนรายใหญ่
  5. มีแนวคิดที่หลากหลาย: สามารถปรับใช้ได้กับหลายสถานการณ์ในตลาด

ข้อเสียของ SMC:

  1. ความซับซ้อน: แนวคิด SMC มีความซับซ้อนและอาจยากต่อการเข้าใจสำหรับนักเทรดมือใหม่
  2. ต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์: การวิเคราะห์แบบ SMC อาจใช้เวลามากกว่าวิธีการวิเคราะห์แบบอื่น
  3. อาจเกิดการตีความผิด: การพยายามเข้าใจพฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่อาจนำไปสู่การตีความที่ผิดพลาดได้
  4. ไม่เหมาะกับการเทรดระยะสั้น: เนื่องจากเน้นการวิเคราะห์ในกรอบเวลาที่ยาวขึ้น
  5. ขาดมาตรฐานที่ชัดเจน: มีหลายแนวทางและการตีความที่แตกต่างกันภายใต้แนวคิด SMC

การประยุกต์ใช้ RTM และ SMC ในการเทรด Forex

RTM และ SMC ในการเทรด
RTM และ SMC ในการเทรด

การประยุกต์ใช้ RTM:

  1. การระบุจุดเข้าเทรด:
    • ใช้ Supply/Demand Zones เพื่อหาจุดที่มีโอกาสเกิดการกลับตัวของราคา
    • มองหารูปแบบ Quasimodo หรือ Compression เพื่อยืนยันสัญญาณการเข้าเทรด
  2. การตั้ง Stop Loss:
    • วาง Stop Loss ด้านหลัง Supply/Demand Zones ที่สำคัญ
    • ใช้โครงสร้างตลาด เช่น Swing High/Low เพื่อกำหนดจุด Stop Loss
  3. การตั้ง Take Profit:
    • ใช้ Price Action Zones (PAZ) ในการกำหนดเป้าหมายกำไร
    • พิจารณาใช้ Quasimodo Levels เป็นจุด Take Profit
  4. การวิเคราะห์แนวโน้ม:
    • ใช้ RBD/DBR และ FTR เพื่อระบุทิศทางของแนวโน้มในระยะยาว
    • วิเคราะห์โครงสร้างตลาดเพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
  5. การบริหารความเสี่ยง:
    • ใช้ Compression Zones เพื่อปรับขนาดการเทรดให้เหมาะสมกับความเสี่ยง
    • พิจารณาใช้ Partial Take Profit ที่ PAZ สำคัญ

การประยุกต์ใช้ SMC:

  1. การระบุจุดเข้าเทรด:
    • ใช้ Order Blocks เพื่อหาจุดที่มีโอกาสเกิดการกลับตัวของราคา
    • มองหา Liquidity Grab เพื่อยืนยันการเข้าของนักลงทุนรายใหญ่
  2. การตั้ง Stop Loss:
    • วาง Stop Loss ด้านหลัง Breaker Blocks หรือ Mitigation Blocks
    • ใช้ Fair Value Gaps (FVG) เพื่อกำหนดระยะห่างของ Stop Loss
  3. การตั้ง Take Profit:
    • ใช้ Liquidity Levels เป็นเป้าหมายในการทำกำไร
    • พิจารณา Imbalance Zones เป็นจุดปิดกำไรบางส่วน
  4. การวิเคราะห์แนวโน้ม:
    • วิเคราะห์โครงสร้างตลาดในกรอบเวลาที่ยาวขึ้นเพื่อระบุทิศทางหลัก
    • ใช้ Change of Character (CHoCH) เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
  5. การบริหารความเสี่ยง:
    • ใช้ Trailing Stop ตาม Liquidity Levels
    • ปรับขนาดการเทรดตามความสำคัญของ Order Blocks

การผสมผสาน RTM และ SMC

แม้ว่า RTM และ SMC จะมีแนวคิดที่แตกต่างกัน แต่นักเทรดหลายคนเลือกที่จะผสมผสานทั้งสองแนวคิดเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และเทรด ต่อไปนี้คือวิธีการที่สามารถนำจุดแข็งของทั้งสองแนวคิดมาใช้ร่วมกัน:

การผสมผสาน RTM และ SMC
การผสมผสาน RTM และ SMC
  1. การวิเคราะห์โครงสร้างตลาด:
    • ใช้แนวคิด Market Structure ของ RTM เพื่อระบุทิศทางหลักของตลาด
    • ใช้ Change of Character (CHoCH) ของ SMC เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
  2. การระบุจุดเข้าเทรด:
    • ใช้ Supply/Demand Zones ของ RTM ร่วมกับ Order Blocks ของ SMC เพื่อหาจุดที่มีโอกาสเกิดการกลับตัวของราคา
    • ใช้ Quasimodo (QM) ของ RTM และ Liquidity Grab ของ SMC เพื่อยืนยันสัญญาณการเข้าเทรด
  3. การตั้ง Stop Loss และ Take Profit:
    • ใช้ Price Action Zones (PAZ) ของ RTM ร่วมกับ Liquidity Levels ของ SMC ในการกำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit
    • พิจารณาใช้ Fair Value Gaps (FVG) ของ SMC เพื่อปรับระยะห่างของ Stop Loss และ Take Profit
  4. การวิเคราะห์พฤติกรรมตลาด:
    • ใช้ Compression ของ RTM ร่วมกับการวิเคราะห์ Order Flow ของ SMC เพื่อเข้าใจพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาด
    • ใช้ FTR (Failure to Return) ของ RTM ร่วมกับ Breaker Blocks ของ SMC เพื่อระบุจุดที่มีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
  5. การบริหารความเสี่ยง:
    • ใช้แนวคิดการจัดการความเสี่ยงของทั้ง RTM และ SMC เพื่อสร้างระบบการบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุม
    • พิจารณาใช้ Partial Take Profit ที่ PAZ สำคัญของ RTM และ Imbalance Zones ของ SMC

สรุป

RTM และ SMC เป็นสองแนวคิดการวิเคราะห์ตลาด Forex ที่มีจุดเด่นและแนวทางที่แตกต่างกัน RTM เน้นการอ่านพฤติกรรมราคาโดยตรงผ่านแนวคิด Supply/Demand และ Price Action ในขณะที่ SMC มุ่งเน้นการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่ผ่านแนวคิด Order Blocks และ Liquidity

ทั้งสองแนวคิดมีข้อดีและข้อเสียของตนเอง RTM มีความเรียบง่ายและยืดหยุ่นสูง แต่อาจต้องใช้เวลาในการฝึกฝนมาก ในขณะที่ SMC ให้มุมมองที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับกลไกตลาด แต่อาจมีความซับซ้อนและยากต่อการตีความ

การเลือกใช้ RTM หรือ SMC หรือแม้แต่การผสมผสานทั้งสองแนวคิดขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรด ประสบการณ์ และความชอบส่วนตัวของแต่ละคน สิ่งสำคัญคือการศึกษา ทดลอง และพัฒนาระบบการเทรดที่เหมาะสมกับตนเอง

ไม่ว่าจะเลือกใช้แนวคิดใด สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีวินัยในการเทรด การบริหารความเสี่ยงที่ดี และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อความสำเร็จในการเทรด Forex ในระยะยาว

FOREXDUCK Logo

FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง

HFM Promotion