แนวรับแนวต้าน คืออะไร วิธีการหาแนวรับแนวต้าน forex

IUX Markets Bonus

แนวรับแนวต้าน คืออะไร

1 แนวรับแนวต้าน คืออะไร

แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) ในการเทรด Forex หรือตลาดเงินตราต่างประเทศ ทำงานในวิธีการที่คล้ายกับตลาดหุ้น แต่ในกรณีนี้ เป็นการวิเคราะห์ระดับราคาในคู่เงินต่างประเทศ (currency pairs) แทนการวิเคราะห์หุ้น

แนวรับ (Support

เป็นระดับราคาที่คู่เงินมักจะหยุดลดลง และเริ่มต้นติดลบขึ้น เนื่องจากมีการซื้อที่เพิ่มขึ้นในระดับราคานั้น ถูกเรียกว่า “ระดับสนับสนุน” เพราะเหมือนมีผู้ซื้อที่ “สนับสนุน” ราคาเพื่อไม่ให้มันตกต่ำลงไป

แนวรับ” หรือ Support ในตลาด Forex คือ ระดับราคาที่คู่เงินต่างประเทศ (currency pair) มักจะไม่ลดลงอีกต่อไป หรือหยุดลดลง และอาจจะขึ้นสูงขึ้น ระดับราคานี้เกิดขึ้นเมื่อมีความต้องการในการซื้อที่เพิ่มขึ้นหรือเมื่อความจำนงการขายลดลง

การตั้งแนวรับมักจะทำโดยการดูจุดต่ำสุดที่คู่เงินได้ถึงในช่วงเวลาที่ผ่านมาหากมีจุดที่คู่เงินมาถึงแล้วหยุดตกลงบ่อยครั้งจะสามารถทำเส้นเชื่อมต่อจุดเหล่านั้นกัน เรียกเส้นนั้นว่า “แนวรับ”

แนวรับที่เราพบเป็นอย่างบ่อย คือ ระดับที่นักลงทุนรู้สึกว่าราคาของคู่เงินนั้นเริ่มจะ “ถูก” หรือ “มีคุ้มค่า” ซึ่งทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อเพิ่มขึ้น จึงสร้างแรงกดดันให้ราคาขึ้น

HFM Market Promotion

2 แนวรับแนวต้าน TradingView

ระดับราคาที่เป็นแนวรับสามารถช่วยให้คุณตัดสินใจเกี่ยวกับตำแหน่งการซื้อขาย ตัวอย่างเช่น หากราคาของคู่เงินตกลงมาถึงระดับแนวรับ คุณอาจจะคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะซื้อเพราะราคามักจะขึ้นในระยะสั้น แต่นักเทรดควรระวังเพราะราคาอาจจะทะลุแนวรับไปด้านล่างถ้าแรงซื้อน้อยลง ซึ่งส่งผลให้แนวรับถูกทำลายและราคาอาจลดลงอย่างรวดเร็ว

 

แนวต้าน (Resistance)

เป็นระดับราคาที่คู่เงินมักจะหยุดที่จุดนั้นและเริ่มต้นตกลง เนื่องจากมีการขายที่เพิ่มขึ้นในระดับราคานั้น ถูกเรียกว่า “ระดับต้านทาน” เพราะเหมือนมีผู้ขายที่ “ต้านทาน” ราคาเพื่อไม่ให้มันขึ้นสูงขึ้น

ดังนั้นแล้ว แนวรับและแนวต้านนั้นยังสามารถช่วยให้นักเทรดมีข้อมูลเพิ่มเติมในการตัดสินใจว่าจะเข้าซื้อหรือขายคู่เงินได้ เช่น เมื่อราคาถึงแนวต้าน นักเทรดอาจจะเลือกขาย และเมื่อราคาถึงแนวรับ นักเทรดอาจจะเลือกซื้อ แต่การวิเคราะห์แนวรับและแนวต้านเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่นักเทรดควรที่จะเรียนรู้และใช้เครื่องมืออื่นๆ ร่วมด้วยเพื่อให้การวิเคราะห์ครอบคลุมและแม่นยำมากขึ้น

แนวต้าน” หรือ Resistance ในตลาด Forex คือ ระดับราคาที่คู่เงินต่างประเทศ (currency pair) มักจะไม่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป หรือหยุดที่ระดับนั้น และอาจจะลดลง ระดับราคานี้เกิดขึ้นเมื่อมีความต้องการในการขายที่เพิ่มขึ้นหรือเมื่อความจำนงการซื้อลดลง

การตั้งแนวต้านมักจะทำโดยการดูจุดสูงสุดที่คู่เงินได้ถึงในช่วงเวลาที่ผ่านมา หากมีจุดที่คู่เงินมาถึงแล้วหยุดขึ้นบ่อยครั้งจะสามารถทำเส้นเชื่อมต่อจุดเหล่านั้นกัน เรียกเส้นนั้นว่า “แนวต้าน”

แนวต้านที่เราพบเป็นอย่างบ่อยคือระดับที่นักลงทุนรู้สึกว่าราคาของคู่เงินนั้นเริ่มจะ “แพง” หรือ “ไม่คุ้มค่า” ซึ่งทำให้ผู้ที่ต้องการขายเพิ่มขึ้น จึงสร้างแรงกดดันให้ราคาลง

แนวต้าน

 

ระดับราคาที่เป็นแนวต้านสามารถช่วยให้คุณตัดสินใจเกี่ยวกับตำแหน่งการซื้อขาย ตัวอย่างเช่น หากราคาของคู่เงินขึ้นมาถึงระดับแนวต้าน คุณอาจจะคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะขายเพราะราคามักจะลดลงในระยะสั้น แต่นักเทรดควรระวังเพราะราคาอาจจะทะลุแนวต้านไปด้านบนถ้าแรงขายน้อยลง ซึ่งส่งผลให้แนวต้านถูกทำลายและราคาอาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

วิธีการหาแนวรับแนวต้าน forex

การหาแนวรับและแนวต้านในการเทรด Forex ค่อนข้างง่าย แต่ยังต้องใช้การศึกษาและความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค ต่อไปนี้เป็นวิธีการที่จะช่วยให้หาแนวรับและแนวต้าน

3 วิธีการหาแนวรับแนวต้าน forex 1

  • เลือกกรอบเวลา (Time Frame): คุณควรเลือกกรอบเวลาที่ต้องการดูแนวรับและแนวต้าน เช่น กรอบเวลา 1 ชั่วโมง, 1 วัน, 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน. กรอบเวลาที่เลือกจะขึ้นอยู่กับรูปแบบการเทรดของคุณ และเป้าหมายการลงทุน
  • สร้างกราฟ: สร้างกราฟราคาของคู่เงินที่คุณต้องการวิเคราะห์ โดยมักจะใช้กราฟแบบแท่งเทียน (Candlestick Chart) เพราะกราฟแบบนี้แสดงราคาเปิด, ปิด, สูงสุด, และต่ำสุดภายในแต่ละช่วงเวลา
  • ค้นหาระดับราคาที่มีจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ซ้ำกัน: คุณจะสร้างเส้นแนวรับที่จุดที่ราคาลดลงมาแล้วหยุดไม่ลดลงอีก (จุดต่ำสุด) และสร้างเส้นแนวต้านที่จุดที่ราคาขึ้นมาแล้วหยุดไม่ขึ้นอีก (จุดสูงสุด). เราควรหาจุดที่ราคาสัมผัสหลายครั้งโดยไม่ทะลุผ่านเส้นที่วาด ทำให้เส้นนั้นมีความหมายมากขึ้น

4 วิธีการหาแนวรับแนวต้าน forex 2

  • วาดเส้นแนวรับและแนวต้าน: ใช้เครื่องมือวาดเส้นในแพลตฟอร์มการเทรดของคุณในการวาดเส้นแนวรับและแนวต้าน โดยวาดเส้นผ่านจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดที่เราค้นหาได้

 

การตีเส้นแนวรับแนวต้าน

การตีเส้นแนวรับและแนวต้านเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้เราเห็นถึงจุดที่ราคามักจะหันกลับมา เป็นการสร้างเส้นความเชื่อมโยงระหว่างจุดต่ำสุดและจุดสูงสุด ที่ราคาคงอยู่หรือยังไม่ทะลุผ่านในช่วงเวลาที่ต้องการความสนใจ โดยปกติแล้ว เราสามารถใช้กราฟราคาเพื่อวาดเส้นเหล่านี้

วิธีการตีเส้นแนวรับ (Support Line)

  • ค้นหาราคาต่ำสุดสองจุดที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ราคาต้องไม่ทะลุผ่านจุดที่ต่ำกว่าในช่วงระหว่างจุดที่คัดเลือก
  • วาดเส้นตรงผ่านจุดต่ำสุดสองจุดเหล่านั้น

5 วิธีการตีเส้นแนวรับ (Support Line)

วิธีการตีเส้นแนวต้าน (Resistance Line)

  • ค้นหาราคาสูงสุดสองจุดที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ราคาต้องไม่ทะลุผ่านจุดที่สูงกว่าในช่วงระหว่างจุดที่คัดเลือก
  • วาดเส้นตรงผ่านจุดสูงสุดสองจุดเหล่านั้น

6 วิธีการตีเส้นแนวต้าน (Resistance Line)

จิตวิทยาแนวรับแนวต้าน

จิตวิทยาแนวรับและแนวต้านในการเทรด Forex เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมราคามักจะสะท้อนถึงเชิงเทคนิคเหล่านี้ จริงๆ แล้ว การวิเคราะห์เทคนิคเป็นการวิเคราะห์ทางจิตวิทยาของผู้เข้าร่วมในตลาด และส่วนใหญ่ของแนวรับและแนวต้านนั้นมีรากฐานมาจากจิตวิทยามนุษย์

การเข้าใจแนวรับและแนวต้านทางจิตวิทยาสามารถช่วยให้นักเทรดเห็นภาพของตลาดอย่างชัดเจน และช่วยตัดสินใจในการเทรดได้ดียิ่งขึ้น จุดที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านนั้นเกิดจากผู้ซื้อและผู้ขายที่ตัดสินใจซื้อขายที่ราคาเหล่านั้น ซึ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์และประทาน ที่แนวรับ คนที่เคยขายในราคาต่ำกว่าแนวรับอาจเริ่มรู้สึกขาดทุนและจึงซื้อกลับเพื่อลดขาดทุน ทำให้ราคาเพิ่มขึ้น คนที่เคยซื้อในราคาสูงกว่าแนวรับและรู้สึกขาดทุนจะสังเกตเห็นแนวรับแล้วจึงตัดสินใจขายที่ราคานั้น เพื่อหยุดความเสียหาย ทำให้ราคาไม่มากกว่าแนวรับ ที่แนวต้าน คนที่เคยซื้อในราคาสูงกว่าแนวต้านและรู้สึกขาดทุนจะสังเกตเห็นแนวต้านแล้วจึงตัดสินใจขายที่ราคานั้น เพื่อลดความเสียหาย ทำให้ราคาไม่มากกว่าแนวต้าน และคนที่เคยขายในราคาต่ำกว่าแนวต้านจะรู้สึกขาดทุนและจึงตัดสินใจซื้อกลับ เพื่อลดขาดทุน ทำให้ราคาเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม แนวรับและแนวต้านสามารถถูกทำลายได้ เมื่อมีข้อมูลใหม่หรือการเปลี่ยนแปลงในตลาด นั่นหมายความว่า แม้จิตวิทยาจะเป็นส่วนสำคัญของการสร้างแนวรับและแนวต้าน ผู้เทรดก็ควรเรียนรู้วิธีการวิเคราะห์ทั้งแนวรับและแนวต้าน รวมถึงทราบถึงปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถทำให้ตลาดเปลี่ยนแปลงได้

การเข้าใจจิตวิทยาแนวรับและแนวต้านเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการเทรดที่ประสบความสำเร็จ ไม่เพียงแค่ให้เราเห็นความสัมพันธ์ระหว่างการซื้อขายและราคา แต่ยังช่วยให้เราเห็นภาพของตลาดอย่างรวดเร็ว ทำให้การเทรดของเรามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาด Forex

 

Indicator ใน mt4 tradingview

การที่จะหาแนวรับและแนวต้านโดยใช้ตัวชี้วัด (indicators) บางครั้งอาจจะช่วยให้ผู้เทรด Forex สามารถจำแนกและพินิจจุดแนวรับและแนวต้านได้อย่างชัดเจน บางตัวชี้วัดที่นักเทรด Forex อาจจะใช้ร่วมกับการวิเคราะห์แนวรับและแนวต้านรวมถึง

Moving Averages (MA): เป็นตัวชี้วัดที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย นักเทรดบางคนอาจจะใช้ MA เพื่อระบุแนวรับและแนวต้าน แนว MA บางแนวอาจจะทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้าน โดยเฉพาะในเวลาที่ราคาปรับตัวคืนมาในแนวเส้น MA

Fibonacci Retracement: ผู้เทรดมักจะใช้ Fibonacci Retracement เพื่อระบุระดับราคาที่อาจจะสร้างความต้านทานหรือรับราคา โดยทั่วไป ระดับ Fibonacci ของ 38.2% 50% และ 61.8% จะถูกมองว่าเป็นระดับที่สำคัญ

Pivot Points: Pivot Points คือ ระดับราคาที่ถูกคำนวณออกมาจากราคาสูงสุด ต่ำสุด และราคาปิดในระยะเวลาที่กำหนด ผู้เทรดมักจะใช้ Pivot Points เพื่อระบุแนวรับและแนวต้าน

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ใช้เพื่อใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้ใน MT4 หรือ TradingView เทรดเดอร์สามารถค้นหาและเพิ่มมันไปยังชาร์ต ในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค (technical analysis tools) ของแพลตฟอร์ม เมื่อมีการใช้ตัวชี้วัด เครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยให้วิเคราะห์แนวรับและแนวต้านใน Forex ได้ง่ายขึ้น

 

10 Indicator ใน mt4 tradingview ยอดนิยม

ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicators) คือ เครื่องมือที่ทำให้นักเทรดสามารถวิเคราะห์เทรนด์ของตลาด ความผันผวน และราคาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ซึ่งบางตัวชี้วัดอาจเป็นประโยชน์กับรูปแบบการเทรดและวิธีการจัดการความเสี่ยงของคุณ นี่คือ 10 ตัวชี้วัดที่นิยมใน MT4 และ TradingView

  1. Moving Average (MA): ใช้ในการคำนวณราคาเฉลี่ยของสินค้าหรือสกุลเงินในระยะเวลาที่กำหนด
  2. Moving Average Convergence Divergence (MACD): ใช้ในการระบุเทรนด์หลักและสัญญาณการซื้อขาย
  3. Relative Strength Index (RSI): ใช้ในการวัดระดับการซื้อขายที่เกินไป (overbought) หรือขายเกิน (oversold)
  4. Bollinger Bands: ใช้ในการวัดความผันผวนของตลาดและสร้างช่วงราคาที่เป็นไปได้
  5. Stochastic Oscillator: ใช้ในการระบุสภาวะที่ซื้อขายเกินหรือขายเกิน
  6. Fibonacci Retracement: ใช้เพื่อระบุระดับที่คาดว่าราคาจะสนับสนุนหรือต้านทาน
  7. Ichimoku Cloud: ใช้ในการระบุเทรนด์และระดับราคาที่มีความสำคัญ
  8. Pivot Points: ใช้ในการระบุระดับราคาที่สำคัญสำหรับการซื้อขายในวันถัดไป
  9. Average True Range (ATR): ใช้ในการวัดความผันผวนของตลาด
  10. Parabolic SAR: ใช้ในการระบุจุดหยุดและกลับ (Stop and Reverse – SAR) คือ จุดที่ทำให้เทรนด์เปลี่ยนทิศทาง

Indicator ทุกตัวชี้วัดมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกตัวชี้วัดที่จะใช้จึงขึ้นอยู่กับวิธีการของแต่ละบุคคล

 

ข้อดีของแนวรับ (Support) แนวต้าน (Resistance)

  • ทำให้เข้าใจเทรนด์ของตลาด: แนวรับและแนวต้านช่วยให้ผู้เทรดสามารถควบคุมเทรนด์ของตลาดได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำกำไร
  • เพิ่มโอกาสในการทำกำไร: โดยทั่วไปนักเทรดมักจะซื้อเมื่อราคาถึงแนวรับ และขายเมื่อราคาถึงแนวต้าน ดังนั้น การทราบเกี่ยวกับแนวรับและแนวต้านสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
  • การจัดการความเสี่ยง: การทราบถึงแนวรับและแนวต้านสามารถช่วยให้นักเทรดกำหนดจุดหยุดขาดทุน (stop loss) และจุดรับกำไร (take profit) ได้เป็นอย่างดี
  • ตัดสินใจที่ดีขึ้น: ด้วยความรู้เกี่ยวกับแนวรับและแนวต้าน นักเทรดสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการซื้อขายในทางกว้างขึ้น
  • การทดสอบความรู้สึก: แนวรับและแนวต้านสะท้อนถึงความรู้สึกและสภาพจิตใจของนักเทรดทั่วโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเทรดควรจะทราบ
  • การเทรดแบบกราฟ: หลายๆ นักเทรดใช้แนวรับและแนวต้านเป็นพื้นฐานของการเทรดแบบกราฟ (chart pattern trading) ที่ทำให้สามารถทำนายการเคลื่อนไหวของราคาได้
  • สามารถใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น: แนวรับและแนวต้านสามารถใช้ร่วมกับตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อการวิเคราะห์ที่ทั่วถึงและแม่นยำ
  • เหมาะสำหรับทุกรูปแบบการเทรด: ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดแบบ Day trading, Swing trading หรือ Position trading คุณสามารถใช้แนวรับและแนวต้านในการวิเคราะห์ทางเทคนิคได้
  • สามารถใช้กับทุกสินค้าการเงิน: ไม่ว่าจะเทรด Forex, หุ้น, สินค้าดิบ หรือคริปโตคัลเรนซี สามารถใช้แนวรับและแนวต้านในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาได้
  • ช่วยในการตระหนักรู้เกี่ยวกับตลาด: แนวรับและแนวต้านช่วยให้นักเทรดสามารถตระหนักรู้ถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา และสร้างภาพรวมเกี่ยวกับดัชนีของตลาด

 

ข้อเสียของแนวรับ (Support) แนวต้าน (Resistance)

  • ข้อมูลย้อนหลัง: แนวรับและแนวต้านจะสร้างจากข้อมูลราคาที่เกิดขึ้นในอดีต ทำให้ไม่สามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ทันท่วงทีได้
  • ไม่เป็นทางการ: การกำหนดแนวรับและแนวต้านมักเป็นการแปรผันที่อยู่ในดุลยพินิจของนักเทรดแต่ละคน
  • ความไม่แน่นอน: มักจะมีการละเมิดแนวรับหรือแนวต้าน และในบางครั้งอาจทำให้นักเทรดเข้าใจผิดเกี่ยวกับสภาพตลาด
  • ราคาทะลุแนวรับและแนวต้าน: ไม่มีระดับราคาใด ๆ ที่สามารถยืนยันได้ว่าราคาจะไม่ทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้าน
  • การตรวจสอบที่ยาก: บางครั้งการตรวจสอบว่าราคาถึงแนวรับหรือแนวต้านเมื่อไหร่อาจเป็นไปได้ยาก
  • ความต้องการเวลา: การวิเคราะห์และการปรับปรุงแนวรับและแนวต้านบ่อย ๆ อาจเป็นไปได้ว่าจำเป็นต้องใช้เวลาและความตั้งใจมาก
  • การเรียนรู้ที่ยาก: สำหรับผู้เริ่มต้นการทำความเข้าใจและการวิเคราะห์แนวรับและแนวต้านอาจจะยาก
  • ไม่เหมาะกับทุกสถานการณ์: อาจไม่เหมาะกับบางสถานการณ์ของตลาด เช่น ในสภาวะตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  • การตีความ: การตีความแนวรับและแนวต้านอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับมุมมองและวิธีการของแต่ละนักเทรด
  • การใช้เครื่องมืออื่น ๆ: การที่แนวรับและแนวต้านทำงานได้ดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ อาจทำให้เกิดความซับซ้อนขึ้น
FOREXDUCK Logo

FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง

HFM Promotion