Hedging คืออะไร มีกี่ประเภทรายละเอียดและข้อมูล

IUX Markets Bonus

Hedge หรือ Hedging คืออะไร

1 Hedge หรือ Hedging คืออะไร

“Hedge” หรือ “Hedging” คือ กลยุทธ์ในการจัดการกับความเสี่ยงในการลงทุนที่มีอยู่ การทำฮิจฺจิ้งทำเพื่อลดหรือย้ายความเสี่ยงที่นักลงทุนหรือบริษัทอาจต้องเผชิญ

การ Hedging อาจถูกทำในหลายอย่าง เช่น การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ตรงกันข้ามกับสินทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว (เช่น ถ้าคุณถือหุ้นของบริษัทที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการตกของราคาน้ำมัน คุณอาจจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเพื่อปกป้องตัวเอง) หรือการใช้สัญญาอนุพันธ์ (derivatives) เช่น ตัวเลือกซื้อ (call options) และตัวเลือกขาย (put options) ซึ่งให้สิทธิแต่ไม่ใช่หน้าที่ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

ยกตัวอย่างเช่น

  • ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่ถือหุ้นของบริษัท A และคุณกังวลว่าราคาหุ้นของบริษัท A อาจจะตกลงในอนาคต
  • คุณอาจจะทำการ Hedging ความเสี่ยงนี้โดยการซื้อตัวเลือกขาย (put option) ในหุ้นของบริษัท A
  • ดังนั้นถ้าราคาหุ้นตกลงตามที่คุณกังวล คุณสามารถใช้ตัวเลือกขายเพื่อขายหุ้นในราคาที่สูงกว่าราคาที่ตกลงมาของหุ้นที่ตลาด ทำให้คุณสามารถลดขาดทุนในราคาหุ้นที่ตกลงได้

 

กลยุทธ์การทำ Hedging เพื่อป้องกันพอร์ตการลงทุน

กลยุทธ์การทำ Hedging เพื่อป้องกันพอร์ตการลงทุนสามารถใช้ได้กับการลงทุนแบบ Long และ Short ดังนี้

HFM Market Promotion

2 กลยุทธ์การทำ Hedging เพื่อป้องกันพอร์ตการลงทุน

Long Position Hedging

เมื่อเทรดเดอร์ทำการลงทุนแบบ Long คือ การซื้อสินทรัพย์ด้วยความหวังว่าราคาจะสูงขึ้นในอนาคต การทำ Hedging สำหรับ Long Position สามารถทำได้โดยการซื้อ Put Option สำหรับสินทรัพย์ที่เทรเดอร์มีหรือใช้วิธีการทำ Hedging ด้วยสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กัน

Short Position Hedging

เมื่อเทรดเดอร์ทำการลงทุนแบบ Short คือ การขายสินทรัพย์ที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของด้วยความหวังว่าราคาจะลดลงในอนาคต การทำ Hedging สำหรับ Short Position สามารถทำได้โดยการซื้อ Call Option สำหรับสินทรัพย์ที่เทรดเดอร์มี หรือใช้วิธีการทำ Hedging ด้วยสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กัน

ทั้งสองวิธีการทำ Hedging นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อป้องกันความเสียหายจากการราคาลดลง (ในกรณี Long Position) หรือราคาสูงขึ้น (ในกรณี Short Position) นอกจากนี้ การทำ Hedging ยังสามารถช่วยป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีของการลงทุนในต่างประเทศด้วย

 

Hedging และการคำนวณ Pip ใน forex

 

3 Hedging และการคำนวณ Pip ใน forex

การทำ Hedging และการคำนวณ Pip ในการซื้อขาย Forex สามารถอธิบายได้ดังนี้

การทำ Hedging

การทำ Hedging ในการซื้อขาย Forex คือ การซื้อหรือขายคู่เงินหนึ่ง เพื่อปกป้องหรือบรรเทาความเสี่ยงทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากคู่เงินหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ในพอร์ตการลงทุนของคุณ

ตัวอย่าง

  • คุณมีคู่เงิน EUR/USD และคุณคิดว่ามีความเสี่ยงที่ USD จะแข็งแรงขึ้น คุณอาจเลือกที่จะทำการขายคู่เงิน GBP/USD เพื่อที่จะทำ Hedging ต่อความเสี่ยงของ USD ที่แข็งแรงขึ้น

การคำนวณ Pip

Pip (Point in Percentage) เป็นหน่วยที่ใช้ใน Forex เพื่อคำนวณความขยับเขยื้อนของราคา และในการคำนวณ Pip มักจะขึ้นอยู่กับคู่เงินที่คุณเทรด แต่สำหรับส่วนใหญ่ของคู่เงิน หนึ่ง Pip คือ การเปลี่ยนแปลงของราคาที่ทศนิยมสี่ ตำแหน่งเช่น 0.0001

ตัวอย่าง

  • สมมติว่าคุณซื้อ EUR/USD ที่ 1300 และขายที่ 1.1350 นั่นคือคุณได้กำไร 50 Pip
  • การทำ Hedging และการคำนวณ Pip ใน Forex เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือและกลยุทธ์ที่ผู้ลงทุนใช้เพื่อจัดการกับความเสี่ยงและความผันผวนในตลาด

 

Hedging ค่าเงินยังไง

“Hedge” หรือ “Hedging” มีความเกี่ยวข้องกับค่าเงิน เพราะในบริบทของค่าเงินเป็นการใช้กลยุทธ์ทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงในอัตราแลกเปลี่ยนสามารถส่งผลกระทบต่อกำไรและขาดทุนในธุรกิจหรือการลงทุน และการ Hedging ความเสี่ยงทางค่าเงินเป็นวิธีที่ธุรกิจและนักลงทุนใช้เพื่อป้องกันตัวเองจากความเสี่ยงนี้ เช่น ธุรกิจที่มีการดำเนินการระหว่างประเทศอาจต้องจ่ายค่าสินค้าหรือบริการในสกุลเงินที่แตกต่างกัน ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง อาจส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิ ด้วยการ Hedging ความเสี่ยงทางค่าเงิน ธุรกิจสามารถ “ล็อก” อัตราแลกเปลี่ยนที่จะต้องจ่ายในอนาคต ทำให้สามารถทำการวางแผนการเงินได้แม่นยำมากขึ้น นักลงทุนที่มีสินทรัพย์ที่มูลค่าขึ้นอยู่กับสกุลเงินที่แตกต่างกัน อาจจะต้องการทำการ Hedging ความเสี่ยงทางค่าเงินเพื่อป้องกันตัวเองจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน

 

Hedging มีกี่ประเภท

การทำ Hedging ส่วนใหญ่จะมี 7 ประเภท ดังนี้

  1. การ Hedging ด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Forwards Hedging)
  2. การ Hedging ด้วยตัวเลือก (Options Hedging)
  3. การ Hedging ด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแลกเปลี่ยน (Futures Hedging)
  4. การ Hedging ด้วยสินเชื่อสวอป (Swap Hedging)
  5. การ Hedging ด้วยกองทุนรวม (Mutual Funds Hedging)
  6. การ Hedging ด้วยตราสารทุน (Equity Hedging)
  7. การ Hedging ด้วยสินค้าดิบ (Commodity Hedging)

Hedging มีประเภทอะไรบ้าง

  1. การ Hedging ด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Forwards Hedging)

การ Hedging ด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Forwards Hedging) คือ การทำสัญญาซื้อขายทรัพย์สินที่จะส่งมอบในอนาคต แต่ตกลงราคาไว้ตั้งแต่วันนี้ ดังนั้น ความเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตจะไม่ส่งผลต่อสัญญาที่มีอยู่แล้ว

ตัวอย่างเช่น

ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในการซื้อน้ำมันดิบเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมันในอนาคต คุณจะทำสัญญาล่วงหน้าเพื่อซื้อน้ำมันดิบในอนาคตในราคาที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าราคาน้ำมันจะเพิ่มหรือลดลงในอนาคต คุณยังคงต้องจ่ายเงินตามราคาที่ตกลงกันไว้ในสัญญา

สำหรับการ Hedge ด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า มีข้อดี คือ ผู้ที่ทำสัญญาสามารถทราบราคาที่จะต้องจ่ายในอนาคตได้แน่นอน และจะไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาทรัพย์สิน แต่ข้อเสียคือ ไม่สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาทรัพย์สินได้ ถ้าราคาของทรัพย์สินลดลง ผู้ที่ทำสัญญา Hedge ยังต้องจ่ายเงินตามราคาที่ตกลงกันไว้ในสัญญา

  1. การ Hedging ด้วยตัวเลือก (Options Hedging)

การ Hedging ด้วยตัวเลือก (Options Hedging) เป็นวิธีการที่ให้สิทธิ์แต่ไม่ใช่ความจำเป็นในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่กำหนดไว้ ณ ราคาที่กำหนดไว้ (exercise price) ภายในหรือณ วันที่สิ้นสุดระยะเวลา (expiry date)

ตัวเลือกมีสองประเภทหลัก คือ

  • Call Option: เป็นสิทธิ์ในการซื้อสินทรัพย์ ถ้าคิดว่าราคาของสินทรัพย์จะขึ้นในอนาคต คุณอาจจะซื้อ Call Option ซึ่งจะให้คุณสิทธิ์ในการซื้อสินทรัพย์นั้น ณ ราคาที่กำหนดไว้ ไม่ว่าราคาจริงจะสูงขึ้นมากเท่าไร
  • Put Option: เป็นสิทธิ์ในการขายสินทรัพย์ ถ้าคิดว่าราคาของสินทรัพย์จะลงในอนาคต คุณอาจจะซื้อ Put Option ซึ่งจะให้คุณสิทธิ์ในการขายสินทรัพย์นั้น ณ ราคาที่กำหนดไว้ ไม่ว่าราคาจริงจะต่ำลงมากเท่าไร

การฮีดจ์ด้วยตัวเลือกเป็นวิธีที่มีความยืดหยุ่นมาก เนื่องจากคุณสามารถปรับการฮีดจ์ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณคาดว่าจะเกิดขึ้น แต่ต้องจ่ายเบี้ยประกัน (premium) ในการซื้อตัวเลือกเหล่านี้ ถ้าความเสี่ยงที่คุณคาดว่าจะเกิดขึ้นไม่เกิดขึ้น คุณก็จะเสียเงินจากการจ่ายเบี้ยประกันนั้นไป

  1. การ Hedging ด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแลกเปลี่ยน (Futures Hedging)

การ Hedging ด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแลกเปลี่ยน (Futures Hedging) คือ วิธีการที่ผู้ทำสัญญาสามารถซื้อหรือขายสินทรัพย์ในอนาคตในราคาที่ตกลงกันแล้ววันนี้ โดยจะใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแลกเปลี่ยน (futures contract) ซึ่งเป็นสัญญาที่สร้างเพื่อมาเป็นเครื่องมือการซื้อขายในตลาดสาธารณะ

ตัวอย่างเช่น

ถ้าคุณเป็นผู้ผลิตข้าว คุณอาจจะขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแลกเปลี่ยนข้าว เพื่อปกป้องตัวคุณเองจากความเสี่ยงที่ราคาข้าวจะลดลงในอนาคต หรือถ้าคุณเป็นผู้รับจ้างส่งข้าว คุณอาจจะซื้อสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแลกเปลี่ยนข้าว เพื่อปกป้องตัวคุณเองจากความเสี่ยงที่ราคาข้าวจะสูงขึ้นในอนาคต

การ Hedging ด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแลกเปลี่ยนมีข้อดี คือ คุณสามารถป้องกันความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ได้ แต่ข้อเสียคือ คุณอาจจะไม่สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ได้ หากราคาสินทรัพย์เคลื่อนไหวอย่างที่คุณคาดการณ์ไม่ถูกต้อง

  1. การ Hedging ด้วยสินเชื่อสวอป (Swap Hedging)

การ Hedging ด้วยสินเชื่อสwap (Swap Hedging) คือ วิธีการที่ใช้สินเชื่อสwap เพื่อเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ให้กลายเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงได้ หรือกลับกัน โดยใช้สินเชื่อสwap ซึ่งเป็นสัญญาที่ทำระหว่างสองฝ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนลักษณะของสินเชื่อ

ตัวอย่างเช่น

ถ้าคุณมีสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ แต่คิดว่าอัตราดอกเบี้ยในอนาคตจะลดลง คุณอาจจะเข้าสู่สัญญา swap เพื่อเปลี่ยนสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่เป็นสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงได้ นอกจากนี้ สินเชื่อ swap ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการฮีดจ์ความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

การฮีดจ์ด้วยสินเชื่อ swap มีข้อดีคือ คุณสามารถป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยหรืออัตราแลกเปลี่ยนได้ แต่ข้อเสียคือ ถ้าการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยหรืออัตราแลกเปลี่ยนไม่เกิดขึ้นตามที่คุณคาดการณ์ คุณอาจจะต้องจ่ายค่าสินเชื่อ swap ที่สูงกว่าที่ควรจะเป็น

  1. การ Hedging ด้วยกองทุนรวม (Mutual Funds Hedging)

การ Hedging ด้วยกองทุนรวม (Mutual Funds Hedging) คือ การที่นักลงทุนใช้กองทุนรวมเพื่อลดการเสี่ยงที่มาจากการลงทุนในตราสารที่สามารถทำให้พวกเขาเสียเงิน ดังนั้น การทำฮีดจ์ด้วยกองทุนรวมอาจจะประกอบด้วยการลงทุนในกองทุนรวมที่มีประเภทสินทรัพย์หลากหลาย เพื่อลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในตราสารเดี่ยวๆ

ตัวอย่างเช่น

นักลงทุนอาจจะซื้อหุ้นของบริษัทที่คิดว่าจะมีผลตอบแทนสูง แต่เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นเดียวนั้น นักลงทุนอาจจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีการลงทุนในหุ้นของบริษัทหลายๆ บริษัท

การฮีดจ์ด้วยกองทุนรวมมีข้อดีคือ สามารถลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในตราสารเดี่ยว แต่ข้อเสียคือ อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการกองทุนรวม และอาจไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงเท่ากับการลงทุนในตราสารเดี่ยวๆ

  1. การ Hedging ด้วยตราสารทุน (Equity Hedging)

การ Hedging ด้วยตราสารทุน (Equity Hedging) คือ วิธีการที่นักลงทุนใช้หุ้นหรือตราสารทุนอื่นๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของพวกเขาในตลาดหุ้น การ Hedging ด้วยตราสารทุนสามารถทำได้ด้วยหลากหลายวิธี เช่น การซื้อตัวเลือก Put (Put Options) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการตกของราคาหุ้น หรือการใช้กลยุทธ์การคู่ค้า (Pairs Trading) ที่รวมการซื้อหุ้นที่คาดว่าจะขึ้น และขายหุ้นที่คาดว่าจะลง

ตัวอย่างเช่น

ถ้าคุณมีหุ้นของบริษัท X และคุณคิดว่าราคาหุ้นจะลดลง คุณอาจจะซื้อตัวเลือก Put สำหรับหุ้นของบริษัท X เพื่อป้องกันความเสี่ยง

การ Hedging ด้วยตราสารทุนมีข้อดีคือ สามารถลดความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ข้อเสียคือ มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อตัวเลือก และอาจไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดได้

  1. การ Hedging ด้วยสินค้าดิบ (Commodity Hedging)

การ Hedging ด้วยสินค้าดิบ (Commodity Hedging) เป็นวิธีที่ผู้ผลิต ผู้ค้าหรือผู้บริโภคสินค้าดิบเช่น ข้าวสาลี, น้ำมันดิบ, ทองคำ ฯลฯ ใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าดิบ การฮีดจ์ด้วยสินค้าดิบสามารถทำได้ด้วยการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (futures contracts) หรือตัวเลือก (options) ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าดิบนั้นๆ

ตัวอย่างเช่น

ถ้าคุณเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบ และคุณกังวลว่าราคาน้ำมันดิบจะตกในอนาคต คุณอาจจะขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของน้ำมันดิบ เพื่อล็อคราคาในปัจจุบัน การทำเช่นนี้จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการตกของราคาน้ำมันดิบ

ข้อดีของการ Hedging ด้วยสินค้าดิบ คือ สามารถลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าดิบ แต่ข้อเสียคือ อาจมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือตัวเลือก และการฮีดจ์อาจไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดได้

 

Hedging มีประโยชน์อย่างไร

4 Hedging มีประโยชน์อย่างไร

Hedging หรือการป้องกันความเสี่ยงเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่มีประโยชน์ในหลายด้าน ดังนี้

  • ลดความเสี่ยง: Hedging ช่วยให้นักลงทุนหรือธุรกิจสามารถป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของราคาทรัพย์สินต่างๆ ซึ่งอาจมีผลต่อผลกำไรหรือขาดทุน
  • ความมั่นใจในการวางแผน: Hedging ช่วยให้นักลงทุนหรือธุรกิจมีความมั่นใจมากขึ้นในการวางแผนทางการเงินหรือการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากทราบว่าจะได้รับผลกระทบน้อยมากเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงราคาทรัพย์สิน
  • ล็อคราคาทรัพย์สิน: ในกรณีของธุรกิจ การ Hedging สามารถใช้ล็อคราคาทรัพย์สินหรือสินค้าที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ เช่น น้ำมันดิบ หรือสกุลเงินต่างประเทศ เพื่อป้องกันความผันผวนของราคาในอนาคต
  • ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: สำหรับธุรกิจที่มีการดำเนินการระหว่างประเทศ การ Hedging สามารถช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความได้เสีย
  • ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย: Hedging ยังช่วยป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งสำคัญสำหรับผู้ที่มีหนี้หรือที่กำลังจะยืมเงิน

ประโยชน์ของการ Hedging ในตลาด Forex

  • เทรดเดอร์สามารถจำกัดความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของราคาในตลาด Forex ได้
  • เทรดเดอร์สามารถจำกัดผลขาดทุนต้องตามการได้เช่นเดียวกัน

 

Hedging Strategy Fully Hedge Partial Hedge คือ

Hedging Strategy หรือ กลยุทธ์การฮีดจ์ มีหลายแบบ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ Fully Hedge และ Partial Hedge ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายสำหรับทั้งสองแนวทาง:

Fully Hedge

Fully Hedge หมายถึง การป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งหรือการลงทุนของคุณ โดยพยายามทำให้ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงราคาในตลาดทุนเป็นศูนย์ เช่น ถ้าคุณมีหุ้นของบริษัท A คุณอาจซื้อตัวเลือกขาย (Put Option) ของหุ้นบริษัท A ในปริมาณที่เท่ากับหุ้นที่คุณถืออยู่ เพื่อป้องกันความเสียหายหากราคาหุ้นลดลง การ Fully Hedge นี้จะทำให้คุณป้องกันความเสี่ยงได้มากที่สุด แต่อาจมีข้อจำกัดในเรื่องของผลตอบแทนที่คาดหวังได้

Partial Hedge

Partial Hedge หมายถึง การป้องกันความเสี่ยงเพียงบางส่วน เมื่อคุณต้องการปรับลดความเสี่ยงแต่ไม่ต้องการกำจัดมันทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณถือหุ้นของบริษัท A คุณอาจจะซื้อตัวเลือกขาย (Put Option) ของหุ้นบริษัท A ในปริมาณที่น้อยกว่าปริมาณหุ้นที่คุณถืออยู่ การ Partial Hedge นี้อนุญาตให้คุณยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากขึ้นหากราคาหุ้นมีแนวโน้มขึ้น แต่ทั้งนี้คุณยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงบางส่วน

ที่สำคัญ คือ การเลือกใช้ Fully Hedge หรือ Partial Hedge จะขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุน ความสบายใจในการรับความเสี่ยง และสภาพการเงินของผู้ลงทุนเองด้วย

วิธีการทำ Hedging forex

Hedging ในตลาด Forex มีหลากหลายวิธีที่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากการขยับของอัตราแลกเปลี่ยน ข้างล่างนี้คือวิธีการทำ Hedging ที่ใช้กันบ่อยในตลาด Forex:

Direct Hedging: หมายถึงการซื้อและขายสกุลเงินเดียวกันในปริมาณเท่ากัน วิธีนี้ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของสกุลเงิน แต่จะยากต่อการทำกำไรเนื่องจากคุณจะต้องรอสัญญาณที่ชัดเจนว่าตลาดมีแนวโน้มในทางไหน

Multiple Currencies Hedging: วิธีนี้รวมถึงการซื้อหรือขายสกุลเงินที่มีความสัมพันธ์กัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณคาดว่าสกุลเงิน EUR จะขึ้น คุณอาจซื้อ EUR/USD และขาย GBP/USD หากทั้งสองคู่สกุลเงินมีความสัมพันธ์กัน วิธีนี้ยังต้องการความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเงิน

Forex Options Hedging: การซื้อตัวเลือก Forex เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในการ Hedge Forex โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนรายย่อย ตัวเลือก Forex ให้คุณสามารถสนับสนุนความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของสกุลเงิน โดยไม่ต้องเปิดตำแหน่งในตลาดสด

Currency Hedging through Correlation: สกุลเงินบางสกุลมีความสัมพันธ์กัน ถ้าสกุลเงินหนึ่งเข้าเครื่อง สกุลเงินที่สัมพันธ์กันอาจตามทัน ดังนั้น นักลงทุนอาจจะเปิดสองตำแหน่งที่มีความสัมพันธ์กันในทางตรงกันข้ามเพื่อเป็นการ Hedging

FOREXDUCK Logo

FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง

HFM Promotion