กลยุทธ์การเทรด คืออะไร กลยุทธ์การเทรด forex มีกี่แบบ

IUX Markets Bonus

Contents

กลยุทธ์การเทรด คืออะไร

1 กลยุทธ์การเทรด คืออะไร

กลยุทธ์การเทรด (Trading Strategy) เป็นเครื่องมือที่สำคัญและเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้เทรดทุกคนที่ต้องการทำกำไรจากการลงทุนในตลาดการเงิน กลยุทธ์การเทรดช่วยให้ผู้เทรดสามารถระบุโอกาสซื้อและขายที่เหมาะสมในตลาดเพื่อสร้างผลกำไรที่เชื่อถือได้ โดยใช้การวิเคราะห์ตลาดและการจัดการความเสี่ยงอย่างมีระบบและประสมที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและวัตถุประสงค์การลงทุนของตนเอง

การสร้างกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพมีขั้นตอนหลายขั้นตอน โดยเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ตลาด ผู้เทรดจะศึกษาและสังเกตแนวโน้มราคา ระดับราคาสำคัญ และตัวชี้วัดทางเทคนิคเพื่อระบุแนวโน้มและจุดเข้า-ออกจากตลาด การใช้กราฟแท่งเทียน แบบจำลองทางเทคนิค หรือตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่น ๆ เป็นที่นิยมในการวิเคราะห์ตลาด และการจัดการความเสี่ยงเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การเทรด เพราะการควบคุมความเสี่ยงช่วยลดความสูญเสียและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ผู้เทรดควรกำหนดระดับการหยุดขาดทุนและการเป้าหมายกำไรเพื่อจัดการความเสี่ยงให้เหมาะสมกับการซื้อขาย

การสร้างกลยุทธ์การเทรดที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องการเวลาและประสบการณ์ ผู้เทรดควรทดลองและปรับปรุงกลยุทธ์เพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและวัตถุประสงค์การลงทุนของตนเอง ด้วยความรอบครอบเพื่อควบคุมความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เทรดควรมีเพื่อรับมือกับความสูญเสียและสร้างโอกาสในการทำกำไรในตลาดการเงิน

วิธีสร้างกลยุทธ์ในการเทรด

การสร้างกลยุทธ์การเทรดเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ในการพัฒนา ความรู้และทักษะเพิ่มเติมในการเทรดจะช่วยเสริมความเข้าใจและความสามารถในการสร้างกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยยกเอาขั้นตอนที่เป็นที่นิยมในการสร้างกลยุทธ์การเทรดมาดั้งนี้

การกำหนดวัตถุประสงค์

ก่อนที่จะสร้างกลยุทธ์การเทรด คุณควรกำหนดวัตถุประสงค์ของคุณในการเทรดอย่างชัดเจน เช่น การทำกำไรรายวัน ซึ่งเป็นกลยุทธ์การเทรดเชิงรุกและกลยุทธ์การเทรดแบบเทคนิคที่ช่วยในการระบุโอกาสซื้อขายสั้นๆ และการจัดการความเสี่ยงอย่างรวดเร็วการสร้างพอร์ตโดยใช้การลงทุนระยะยาว หรือการควบคุมความเสี่ยง โดยการจัดการความเสี่ยงให้เหมาะสมกับสภาพตลาด โดยการใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยงเช่น การกำหนดระดับหยุดขาดทุนและระดับกำไร การคำนวณอัตราส่วนความเสี่ยง-กำไร เป็นต้น การกำหนดวัตถุประสงค์ชัดเจนจะช่วยให้คุณมีแนวทางที่ชัดเจนในการสร้างกลยุทธ์ในการเทรด

การวิเคราะห์ตลาด

HFM Market Promotion

การวิเคราะห์ตลาดเป็นกระบวนการที่จำเป็นในการทำกลยุทธ์การเทรด ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น กราฟแท่งเทียน ตัวชี้วัดทางเทคนิค เพื่อรับรู้แนวโน้มของตลาดและการเคลื่อนไหวราคา การวิเคราะห์ตลาดช่วยให้คุณสามารถจับโอกาสและแนวทางในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการความเสี่ยง

การจัดการความเสี่ยงเป็นปัจจัยสำคัญในการเทรด เพื่อป้องกันการสูญเสียที่ไม่คาดคิด กำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้สำหรับแต่ละการเทรด และวางแผนวิธีการจัดการความเสี่ยง เช่น การตั้งระดับหยุดขาดทุนและกำไร การใช้สัดส่วนเงินทุนในการเทรด เพื่อให้คุณสามารถควบคุมความเสี่ยงในการซื้อขายได้อย่างมีสมดุล.

การเลือกกลยุทธ์การเทรด

หลังจากที่คุณกำหนดวัตถุประสงค์และวิเคราะห์ตลาดแล้ว คุณสามารถเลือกและพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมกับคุณได้ ตัวอย่างเช่น

กลยุทธ์การเทรนด์ตาม: ใช้สัญญาณเทคนิคเพื่อติดตามแนวโน้มของตลาดและเข้าทำธุรกรรมในทิศทางเดียวกับแนวโน้ม ในกรณีที่ตลาดเคลื่อนที่ในทิศทางเดียวกัน

กลยุทธ์การเทรดแบบเทรดเทคนิค: ใช้การวิเคราะห์เทคนิคเชิงลึกเพื่อระบุสัญญาณซื้อขายที่เหมาะสม และใช้เครื่องมือเทคนิคเช่น การสร้างช่องว่าง และการตรวจจับการแกว่ง

กลยุทธ์การเทรดแบบผสม: การผสมผสานกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น การนำเทคนิคเทรดเทรนด์ตามมาเพื่อเข้าทำธุรกรรมในทิศทางข้างในของช่วงระยะสั้น

การทดสอบและปรับปรุง

หลังจากสร้างกลยุทธ์การเทรดแล้ว ทดสอบกลยุทธ์โดยใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์หรือในสภาวะทดลอง เพื่อวิเคราะห์ผลและปรับปรุงกลยุทธ์ตามผลที่ได้ การทดสอบและปรับปรุงช่วยให้คุณปรับแก้ไขและพัฒนากลยุทธ์เพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นต่อไป

การบริหารจัดการทางจิตวิทยา

จัดการอารมณ์และจิตวิทยาเป็นสิ่งสำคัญในการเทรด เพื่อให้คุณสามารถควบคุมอารมณ์ เสริมสร้างความมั่นใจ และรับมือกับความเครียดที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการเทรด การใช้เทคนิคเช่น การทำความเข้าใจและการควบคุมอารมณ์ การใช้เทคนิคการสร้างสภาวะจิตใจที่เหมาะสม เช่น การทำสมาธิ หรือการออกกำลังกาย จะช่วยให้คุณควบคุมจิตใจและการตัดสินใจในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การบันทึกและวิเคราะห์ผล

การบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรดเป็นสิ่งสำคัญในการติดตามผลและปรับปรุงกลยุทธ์ โดยบันทึกการซื้อขายของคุณ เช่น รายละเอียดของการเข้าทำธุรกรรม ระดับการเข้าทำธุรกรรม และผลการซื้อขาย เพื่อให้คุณสามารถวิเคราะห์ผลและตรวจสอบกลยุทธ์ของคุณว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่ การวิเคราะห์ผลช่วยให้คุณปรับปรุงกลยุทธ์ให้เหมาะสมและมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในระยะยาว

กลยุทธ์การเทรด forex มีกี่แบบ

การเทรด Forex นักเทรดสามารถใช้กลยุทธ์หลายแบบได้ ซึ่งแต่ละกลยุทธ์จะมีลักษณะและวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน และนี่คือตัวอย่างของกลยุทธ์การเทรด Forex ที่พบบ่อย

กลยุทธ์การเทรดแบบเทรนด์ตาม (Trend Following)

กลยุทธ์นี้ใช้สัญญาณการเคลื่อนไหวของตลาดในแนวโน้มเพื่อตัดสินใจเข้าหรือออกจากตลาด นักเทรดจะพยายามหาตลาดที่มีความเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มเดียวกันซึ่งอธิบายเบื้องต้นของกลยุทธ์การเทรดตาม (Trend Following) ดังนี้

  1. การระบุเทรนด์: การระบุเทรนด์เป็นขั้นตอนสำคัญในกลยุทธ์การเทรดตาม นักเทรดต้องสังเกตแนวโน้มของตลาดว่าเป็นเทรนด์ขาขึ้น (uptrend) หรือเทรนด์ขาลง (downtrend) หรือเป็นแนวราบ (sideways) ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือเทคนิคเช่นเส้นเทรนด์, ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่, หรือแบนด์บอลล์เจอร์ในการช่วยระบุเทรนด์ได้.
  2. การเข้าร่วมเทรนด์: เมื่อเทรนด์ถูกระบุแล้ว นักเทรดจะพยายามเข้าร่วมเทรนด์โดยซื้อขายในทิศทางของเทรนด์นั้น ในเทรนด์ขาขึ้น (uptrend) นักเทรดจะพิจารณาเข้าซื้อ ในเทรนด์ขาลง (downtrend) นักเทรดจะพิจารณาเข้าขาย และในแนวราบ (sideways) นักเทรดอาจพิจารณาการทำธุรกรรมในทิศทางรอบๆ ระดับราคาสนับสนุนและความต้านทาน.
  3. การบริหารจัดการความเสี่ยง: การบริหารจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในกลยุทธ์การเทรดตาม นักเทรดควรกำหนดระดับหยุดขาดทุนที่เหมาะสมเพื่อการทำกำไรและการควบคุมความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการตลาด

ตัวอย่างของกลยุทธ์การเทรดตาม (Trend Following)

  • หากตลาดกำลังเคลื่อนที่ในแนวโน้มขาขึ้น (uptrend) นักเทรดอาจจะรอจนกว่าราคาจะลงมายังเส้นเทรนด์หรือระดับรองรับก่อนที่จะเข้าทำธุรกรรมแบบซื้อในทิศทางของเทรนด์
  • หากตลาดอยู่ในเทรนด์ขาลง (downtrend) นักเทรดอาจจะรอจนกว่าราคาจะขึ้นมายังเส้นเทรนด์หรือระดับความต้านทานก่อนที่จะเข้าทำธุรกรรมแบบขายในทิศทางของเทรนด์

กลยุทธ์การเทรดแบบทำกำไรจากความแปรปรวน (Volatility Breakout)

เน้นการตามหาช่วงราคาที่มีความแปรปรวนสูง เพื่อเข้าทำธุรกรรมเมื่อราคาขายลงไปกว่าระดับรองรับหรือขายขึ้นไปกว่าระดับความต้านทานที่กำหนดไว้ ซึ่งนักเทรดทำกำไรโดยคาดหวังว่าราคาจะเดินตามทิศทางที่มีความเปลี่ยนแปลงเข้มข้น ซึ่งจะอธิบายเบื้องต้นของกลยุทธ์การเทรดแบบทำกำไรจากความแปรปรวน (Volatility Breakout) ดังนี้

  1. การระบุช่วงราคาที่มีความแปรปรวนสูง: ในกลยุทธ์นี้ เทรดเนอร์จะใช้เครื่องมือเทคนิคเพื่อระบุช่วงราคาที่มีความแปรปรวนสูง เช่น หน่วยกำไรและขาดทุน, ค่าเฉลี่ยแท่งเทียน หรือแบนด์บอลล์เจอร์.
  2. การเข้าทำธุรกรรมเมื่อมีการBreakout: เมื่อราคาขายลงไปกว่าระดับรองรับหรือขายขึ้นไปกว่าระดับความต้านทานที่กำหนด เทรดเนอร์อาจพิจารณาเข้าทำธุรกรรม โดยซื้อหรือขายตามทิศทางเทรนด์แรกที่เกิดขึ้นหลังจากการพังของระดับราคาที่มีความต้านทานหรือรองรับ.
  3. การบริหารจัดการความเสี่ยง: การบริหารจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในกลยุทธ์การเทรดแบบทำกำไรจากความแปรปรวน คุณควรกำหนดระดับหยุดขาดทุนและระดับเป้าหมายกำไรที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยและการควบคุมความเสี่ยง

ตัวอย่างของกลยุทธ์การเทรดแบบทำกำไรจากความแปรปรวน (Volatility Breakout)

  • หากตลาดมีการเคลื่อนที่ขึ้นและราคาขายขึ้นไปเกินระดับความต้านทานที่กำหนดไว้ นักเทรดอาจพิจารณาเข้าทำธุรกรรมโดยซื้อเพื่อใช้กระตุ้นเรื่องราคาเพิ่มขึ้น.
  • หากตลาดมีการเคลื่อนที่ลงและราคาขายลงมากว่าระดับรองรับที่กำหนดไว้ นักเทรดอาจพิจารณาเข้าทำธุรกรรมโดยขายเพื่อใช้กระตุ้นเรื่องราคาลดลง

กลยุทธ์การเทรดแบบการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม (Trend Reversal)

เน้นการตามหาสัญญาณเพื่อตรวจหาการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของตลาด เพื่อทำกำไรจากการเข้าหรือออกจากตลาดเมื่อตลาดกำลังพลิกตัวจากเทรนด์เดิมโดยจะอธิบายเบื้องต้นของกลยุทธ์การเทรดแบบการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม (Trend Reversal) ดังนี้

  1. การระบุสัญญาณการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม: ในกลยุทธ์นี้ เทรดเนอร์จะใช้เครื่องมือทางเทคนิคเพื่อระบุสัญญาณที่ชัดเจนแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม เช่น การพลิกตัวของเทรนด์เส้น, รูปแบบกราฟเทคนิค, หรือตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ
  2. การเข้าหรือออกจากตลาดเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม: เมื่อมีสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของตลาด เทรดเนอร์สามารถพิจารณาเข้าหรือออกจากตลาด โดยซื้อหรือขายตามทิศทางใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากการพลิกตัวของตลาด
  3. การบริหารจัดการความเสี่ยง: การบริหารจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในกลยุทธ์การเทรดแบบการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม เทรดเนอร์ควรกำหนดระดับหยุดขาดทุนและระดับเป้าหมายกำไรเพื่อควบคุมความเสี่ยงและการบริหารเงินลงทุนอย่างเหมาะสม

ตัวอย่างของกลยุทธ์การเทรดแบบการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม (Trend Reversal)

  • หากตลาดอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น (uptrend) และมีสัญญาณทางเทคนิคที่ชัดเจนเพื่อแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของตลาดเป็นเทรนด์ขาลง (downtrend) เทรดเนอร์อาจพิจารณาออกจากตลาดหรือเข้าทำธุรกรรมแบบขาย
  • หากตลาดอยู่ในเทรนด์ขาลง (downtrend) และมีสัญญาณทางเทคนิคที่ชัดเจนเพื่อแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของตลาดเป็นเทรนด์ขาขึ้น (uptrend) เทรดเนอร์อาจพิจารณาออกจากตลาดหรือเข้าทำธุรกรรมแบบซื้อ

กลยุทธ์การเทรดแบบแบ่งเวลา (Time-Based)

เน้นการวางแผนการเทรดตามเวลาที่กำหนดไว้ เช่น เข้าทำธุรกรรมทุกๆ ชั่วโมงตามกำหนดเวลาที่แน่นอน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งอยู่กับสัญญาณการซื้อขายหรือการวิเคราะห์ทางเทคนิคโดยจะอธิบายเบื้องต้นของกลยุทธ์การเทรดแบบแบ่งเวลา (Time-Based) ดังนี้

  1. กำหนดเวลาการเทรด: ในกลยุทธ์นี้ เทรดเนอร์จะกำหนดช่วงเวลาที่ต้องการเทรด บางคนอาจเลือกที่จะทำธุรกรรมทุกๆ ชั่วโมง ส่วนคนอื่นๆ อาจกำหนดช่วงเวลาที่แน่นอน เช่น การเทรดในช่วงเช้าหรือช่วงบ่ายของวัน
  2. การเข้าและออกจากตลาดตามเวลา: เทรดเนอร์จะทำธุรกรรมในช่วงเวลาที่กำหนดไว้และปิดที่ตลาดเมื่อช่วงเวลาสิ้นสุด การตั้งเวลาการเข้าและออกจากตลาดอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาณการซื้อขายหรือสภาวะทางเทคนิคของตลาด แต่อย่างไรก็ตาม นักเทรดจะต้องปฏิบัติตามกำหนดเวลาที่กำหนดไว้
  3. การบริหารจัดการความเสี่ยง: การบริหารจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในกลยุทธ์การเทรดแบบแบ่งเวลา นักเทรดควรกำหนดขนาดการเทรดและระดับหยุดขาดทุนที่เหมาะสมตามการบริหารจัดการเงิน

ตัวอย่างของกลยุทธ์การเทรดแบบแบ่งเวลา (Time-Based)

  • นักเทรดสามารถกำหนดให้ทำธุรกรรมทุกๆ ชั่วโมง โดยเข้าทำธุรกรรมและปิดที่ตลาดในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น ทุกๆ ชั่วโมงแรกของเช้า
  • นักเทรดสามารถกำหนดเวลาที่ต้องการเทรดในช่วงเวลาที่แน่นอน เช่น เทรดในช่วงเช้าเท่านั้นหรือเทรดในช่วงบ่ายเท่านั้น

กลยุทธ์การเทรดแบบสกัดกำไร (Scalping)

เป็นกลยุทธ์ที่นักเทรดจะทำกำไรจากการซื้อขายในระยะเวลาสั้นๆ โดยเปิดและปิดตำแหน่งในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อรับผลกำไรจากความผันผวนราคาที่เล็กน้อยในระยะเวลาสั้นโดยอธิบายเบื้องต้นของกลยุทธ์การเทรดแบบสกัดกำไร (Scalping) ดังนี้

  1. การเข้าและออกจากตลาดอย่างรวดเร็ว: นักเทรดจะเปิดตำแหน่งในระยะเวลาสั้นๆ โดยใช้สัญญาณทางเทคนิคหรือการวิเคราะห์ราคาเพื่อรับผลกำไรจากการเคลื่อนไหวราคาในเวลาอันสั้น
  2. การบริหารจัดการความเสี่ยง: นักเทรดควรกำหนดระดับหยุดขาดทุนและเป้าหมายกำไรที่เหมาะสมสำหรับการซื้อขายในระยะเวลาสั้น และการควบคุมความเสี่ยงให้เหมาะสม
  3. การเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม: ในกลยุทธ์นี้ นักเทรดควรเลือกสินทรัพย์ที่มีความเหมาะสมสำหรับการซื้อขายในระยะเวลาสั้น ซึ่งสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและมีความผันผวนราคาเล็กน้อยในระยะเวลาสั้น

ตัวอย่างของกลยุทธ์การเทรดแบบสกัดกำไร (Scalping)

  • นักเทรดอาจใช้การวิเคราะห์กราฟแบบเบรกเอเวอเรจ์ (Breakout) เพื่อหาโอกาสทางซื้อขายเมื่อราคาพุ่งขึ้นหรือตกลงจากระดับราคาสำคัญในระยะเวลาสั้น.
  • นักเทรดอาจใช้การวิเคราะห์เทคนิคเช่นเส้นเทรนด์หรือแบบไบนารี่ (Binary) เพื่อระบุแนวโน้มราคาในระยะเวลาสั้นๆ และทำกำไรจากการซื้อหรือขายตามแนวโน้มนั้น

เทคนิคการเทรด

เทคนิคการเทรด (Trading techniques) คือวิธีหรือกลยุทธ์ที่นักเทรดใช้เพื่อการวางแผนและการดำเนินการซื้อขายในตลาดทางการเงิน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักเทรดตัดสินใจในการเข้าและออกจากตลาด โดยใช้ข้อมูลทางเทคนิคและสถิติ เพื่อปรับปรุงโอกาสในการทำกำไรและการควบคุมความเสี่ยงในการลงทุนโดยยกตัวอย่างบางเทคนิคการเทรดที่นักเทรดใช้ดังนี้

เทรนด์เทรด (Trend Trading)

เทรนด์เทรด (Trend Trading) เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่ใช้แนวโน้มของตลาดเป็นแนวทางในการตัดสินใจซื้อหรือขายสินทรัพย์ กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการร่วมทำกำไรจากการเคลื่อนไหวตามแนวโน้มของตลาด โดยซื้อเมื่อตลาดอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น (Uptrend) และขายเมื่อตลาดอยู่ในเทรนด์ขาลง (Downtrend) โดยมีตัวอย่างการเทรนด์เทรดดังนี้

เทรนด์ขาขึ้น (Uptrend)

นักเทรดจะระบุแนวเทรนด์ขาขึ้นโดยการวาดเส้นเทรนด์ขึ้นจากต้นแบบกราฟสูงสุด

ซื้อเมื่อราคากลับมาทดสอบแนวรับและกลับไปด้วยเทรนด์ขาขึ้น

สำหรับการกำหนดจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) สามารถวางไว้ในบริเวณต่ำสุดของแนวรับหรือใกล้เคียง

เทรนด์ขาลง (Downtrend)

นักเทรดจะระบุแนวเทรนด์ขาลงโดยการวาดเส้นเทรนด์ลงจากต้นแบบกราฟต่ำสุด

ขายเมื่อราคากลับมาทดสอบแนวต้านและกลับไปด้วยเทรนด์ขาลง

สำหรับการกำหนดจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) สามารถวางไว้ในบริเวณสูงสุดของแนวต้านหรือใกล้เคียง

การซื้อขายแบบเทคนิค (Technical Trading)

เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่ใช้การวิเคราะห์และการใช้เครื่องมือเทคนิคเพื่อตรวจสอบแนวโน้มและสัญญาณซื้อขายในตลาด วิธีนี้ใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของราคาและปริมาณการซื้อขายเพื่อให้สามารถสร้างกลยุทธ์การซื้อขายที่มีความน่าเชื่อถือและมีโอกาสที่สูงขึ้นในการทำกำไร โดยมีตัวอย่างการซื้อขายแบบเทคนิคดังนี้

  • กลยุทธ์การเทรดแบบเคลื่อนที่เฉลี่ย (Moving Average Crossover Strategy) นักเทรดใช้เส้นเครื่องหมายเคลื่อนที่เฉลี่ยราคาในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อระบุสัญญาณซื้อขายเมื่อเส้นเครื่องหมายสั้นตัดเส้นเครื่องหมายยาว
  • กลยุทธ์การซื้อขายแบบแบนด์ช่องราคา (Bollinger Bands Strategy) นักเทรดใช้แบบแบนด์ช่องราคาเพื่อระบุช่วงราคาที่คาดหวังและระดับที่มีความต้านทานและสนับสนุน เพื่อกำไรจากการสัมพันธ์ของราคาในช่วงนั้น
  • กลยุทธ์การซื้อขายแบบแรงขายภายใน (RSI Strategy)นักเทรดใช้ตัวชี้วัดแรงขายภายใน (RSI) เพื่อระบุสภาวะตลาดที่เกินขายหรือซื้อเกินและสร้างสัญญาณซื้อขาย

การซื้อขายแบบสนับสนุนและความต้านทาน (Support and Resistance Trading)

เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่ใช้ระดับสนับสนุนและความต้านทานบนกราฟเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการตัดสินใจซื้อหรือขายสินทรัพย์ กลยุทธ์นี้ใช้งานได้กับทุกช่วงเวลาและสินทรัพย์ที่มีการซื้อขาย โดยมีตัวอย่างการซื้อขายแบบสนับสนุนและความต้านทานดังนี้

การซื้อขายระหว่างระดับสนับสนุนและความต้านทาน

นักเทรดจะซื้อขายเมื่อราคาขึ้นมาใกล้ระดับสนับสนุนและขายเมื่อราคาลงมาใกล้ระดับความต้านทาน

การเข้า-ออกที่ระดับสนับสนุนและความต้านทาน

นักเทรดจะซื้อเมื่อราคาตกลงมาสัมผัสระดับสนับสนุนและขายเมื่อราคาขึ้นมาสัมผัสระดับความต้านทาน

การซื้อขายแบบเบรคเอเวอร์ (Breakout Trading)

เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่ใช้การเบรคเอเวอร์ระดับสำคัญเพื่อกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาเมื่อราคาขาดทุนระดับสนับสนุนหรือความต้านทานและเข้าสู่ช่วงราคาใหม่ กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการจับตามโอกาสที่ราคาขาดทุนและเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันโดยมีตัวอย่างการซื้อขายแบบเบรคเอเวอร์ดังนี้

เบรคเอเวอร์ระดับสนับสนุน

  • นักเทรดจะซื้อเมื่อราคาขาดทุนระดับสนับสนุนและเข้าสู่ช่วงราคาใหม่ขาขึ้น
  • การกำหนดจุดหยุดขาดทุนสามารถทำได้โดยการวางในบริเวณของระดับสนับสนุนหรือใกล้เคียง

เบรคเอเวอร์ระดับความต้านทาน

  • นักเทรดจะขายเมื่อราคาขาดทุนระดับความต้านทานและเข้าสู่ช่วงราคาใหม่ขาลง
  • การกำหนดจุดหยุดขาดทุนสามารถทำได้โดยการวางในบริเวณของระดับความต้านทานหรือใกล้เคียง

รูปแบบการเทรดมีกี่แบบ

2 รูปแบบการเทรดมีกี่แบบ

การเทรด (Trading) เป็นกระบวนการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ทางการเงิน เพื่อกำไรหรือผลตอบแทนที่เป็นไปได้ ผู้ที่มีความสนใจในการเทรดสามารถเลือกรูปแบบการเทรดที่เหมาะสมกับความถนัดและวัตถุประสงค์ของตนเองได้ โดยรูปแบบการเทรดในตลาดทางการเงินมีหลากหลายแบบ ซึ่งขึ้นอยู่กับวิธีการเข้าและออกตลาด ระยะเวลาการถือตำแหน่ง และกลยุทธ์การซื้อขายที่ใช้ นี่คือรูปแบบการเทรดบางส่วนที่ได้รับความนิยมในตลาดทางการเงิน

Day Trading

Day Trading (การเทรดในวันเดียว) เป็นรูปแบบการเทรดที่นักเทรดเปิดและปิดตำแหน่งการซื้อขายในวันเดียวกันโดยไม่เกิน 24 ชั่วโมง การเทรดในวันเดียวนี้เน้นการซื้อขายในระยะเวลาสั้นๆ เช่น 5 นาที, 15 นาที, หรือ 1 ชั่วโมง โดยใช้กราฟและสัญญาณเทรดที่สั้นและรวดเร็วเพื่อหาโอกาสซื้อขายในระยะเวลาสั้น ๆ

Day Trading มีลักษณะการเคลื่อนไหวราคาและการเทรดที่เร็ว นักเทรดในสไตล์นี้ต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว การบริหารจัดการเงินและการจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการเทรดในวันเดียว เนื่องจากอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงราคาที่รวดเร็วและมีความเสี่ยงสูง เช่น นักเทรดซื้อขาย EUR/USD ในช่วงเช้าและขายออกก่อนที่ตลาดจะปิดเพื่อเก็บกำไรในวันเดียว เป็นต้น

Swing Trading

Swing Trading (การเทรดสวิง) เป็นรูปแบบการเทรดที่นักเทรดถือตำแหน่งภายในระยะเวลาที่สั้นกว่าในการเทรดทั่วไป แต่ยาวกว่าการเทรดในวันเดียว นักเทรดสวิงจะพยายามตรวจสอบและเข้าถึงแนวโน้มราคาที่มีการเคลื่อนไหวระยะสั้นๆ และตั้งใจถือตำแหน่งเพื่อตามระยะเวลาของแนวโน้มราคาที่พวกเขาสังเกตเห็น เช่น นักเทรดสวิงทำการวิเคราะห์และสังเกตว่าราคาของหุ้น XYZ กำลังเคลื่อนไหวในแนวโน้มเพิ่มขึ้น นักเทรดจะถือตำแหน่งซื้อและสามารถปิดตำแหน่งเมื่อราคาขึ้นสูงกว่าระดับความต้านทานที่กำหนดไว้

Position Trading

Position Trading (การเทรดตำแหน่ง) เป็นรูปแบบการเทรดที่นักเทรดถือตำแหน่งในระยะเวลายาวนาน เช่น สัปดาห์หรือเดือน เพื่อล่าราคาในระยะยาว นักเทรดในสไตล์นี้มักจะพยายามจับแนวโน้มราคาที่เป็นไปในทิศทางที่เห็นในตลาดและนำระยะเวลาที่ยาวมาเป็นกลยุทธ์การซื้อขาย

การเทรดตำแหน่งให้นักเทรดมีเวลาในการวิเคราะห์และตัดสินใจ โดยอาจจะใช้การวิเคราะห์เชิงพื้นฐานหรือการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อค้นหาโอกาสที่มีความเป็นไปได้สูงในการเข้าถึงแนวโน้มราคาในระยะยาว เช่น นักเทรดสามารถสังเกตแนวโน้มยาวนานของคู่สกุลเงิน GBP/USD และตั้งใจถือตำแหน่งในระยะเวลาหลายสัปดาห์หรือเดือนเพื่อเข้าถึงแนวโน้มราคาในระยะยาว เป็นต้น

Momentum Trading

Momentum Trading (การเทรดมอเมนตัม) เป็นรูปแบบการเทรดที่นักเทรดซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มการเคลื่อนไหวแรงในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อกำไรจากการตามความเร็วและแรงของการเคลื่อนไหวของราคานักเทรดในสไตล์นี้ใช้แนวโน้มราคาและการเคลื่อนไหวของราคาในการตัดสินใจซื้อหรือขาย โดยการติดตามความเปลี่ยนแปลงราคาในระยะเวลาสั้นเป็นสำคัญ เช่น นักเทรดในสไตล์มอเมนตัมอาจจะซื้อสินทรัพย์ที่ราคาขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มเชิงบวกแรง โดยเรียกใช้ค่า RSI เพื่อตรวจสอบความเร็วของการเคลื่อนไหว และขายออกเมื่อแรงของแนวโน้มกำลังอ่อนลง เป็นต้น

Pattern Trading

Pattern Trading (การเทรดแบบรูปแบบ) เป็นกลยุทธ์การเทรดที่ใช้รูปแบบและการตลาดทางเทคนิคเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจการซื้อขาย นักเทรดรูปแบบจะสำรวจและระบุรูปแบบที่เกิดขึ้นบนกราฟราคา เช่น รูปแบบแท่งเทียน (candlestick patterns) และรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา (price patterns) เพื่อจับตามสัญญาณซื้อหรือขายที่เป็นไปได้ในอนาคต

การเทรดแบบรูปแบบต้องการการวิเคราะห์กราฟและความเข้าใจในรูปแบบทางเทคนิคต่างๆ ซึ่งอาจรวมถึงแนวรับและแนวต้านทางราคาหรือตัวชี้วัดเทคนิคอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจการซื้อขายเช่น นักอาจจะติดตามและศึกษารูปแบบแท่งเทียนชนิดต่างๆ เช่น Hammer, Shooting Star, Head and Shoulders, Double Top, หรือ Triple Bottom เพื่อค้นหาสัญญาณการซื้อขายที่เป็นไปได้ในกราฟราคา

การจัดการความเสี่ยงในการเทรด

การจัดการความเสี่ยงในการเทรดเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเทรด เนื่องจากการลงทุนในตลาดทางการเงินเสมอมาพร้อมกับความเสี่ยงที่เป็นไปได้ ดังนั้นนักเทรดควรมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่ดีเพื่อสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนและลดความเสี่ยงของการสูญเสียในการเทรด นี่คือบางเทคนิคที่นักเทรดใช้ในการจัดการความเสี่ยง:

  1. การกำหนดขีดจำกัดการสูญเสีย (Stop Loss): การกำหนดระดับราคาที่เมื่อราคาถึงระดับนั้นจะทำให้ตำแหน่งการเทรดถูกปิดอัตโนมัติเพื่อลดการสูญเสียที่เกินกำหนด
  2. การจัดการขนาดการซื้อขาย (Position Sizing): การกำหนดขนาดการซื้อขายที่เหมาะสมเทียบกับขนาดบัญชีและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อให้มีการกระจายความเสี่ยงและสามารถรับได้กับสภาวะตลาด
  3. การควบคุมการบริหารเงิน (Money Management): การกำหนดสัดส่วนการลงทุนในแต่ละตลาดหรือตัวบ่งชี้เพื่อควบคุมความเสี่ยงในการซื้อขาย และการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินอย่างมีระเบียบ
  4. การวิเคราะห์ความเสี่ยง-ผลตอบแทน (Risk-Reward Analysis): การประเมินความเสี่ยงที่ต้องรับและผลตอบแทนที่คาดหวังจากตำแหน่งการเทรดเพื่อให้มีส่วนสุดท้ายที่ดีกว่าการเสี่ยงที่เกิดขึ้น
  5. การดูแลและติดตามการเทรด: การติดตามและปรับปรุงผลการเทรดเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถระบุและแก้ไขข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นและปรับแผนการเทรดให้เหมาะสมต่อสภาวะตลาด
FOREXDUCK Logo

FOREXDUCK (นามปากกา) นักเขียนของเรามีประสบการณ์การเงินการลงทุนกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาด Forex และคริปโต โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงเทคนิคต่าง

HFM Promotion